
ศาลฎีกาพิพากษา “บัตรโดนแฮ็ก เจ้าของไม่ต้องจ่าย” คนมีบัตรเครดิตควรรู้อะไรบ้าง
25 ธ.ค. 2025
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีประเด็นสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตทุกคนควรรู้ นั่นคือคำพิพากษาศาลฎีกา 2624/2568
โดยใจความสำคัญของคำพิพากษานี้ก็คือ ถ้าบัตรเครดิตโดนแฮ็กหรือถูกมิจฉาชีพสวมรอยเอาไปรูดซื้อของ เราซึ่งเป็นเจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนนั้นเลยสักบาทเดียว
ทำให้หลายคนมองว่า นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญของการคุ้มครองผู้บริโภคในระบบการเงิน เพราะได้วางบรรทัดฐานใหม่เกี่ยวกับความรับผิดของเจ้าของบัตรเครดิตอย่างชัดเจน
ช่วยให้เราไม่ต้องรู้สึกว่า เป็นแค่คนตัวเล็ก ๆ ที่ไม่มีอำนาจต่อรองกับสถาบันการเงิน ซึ่งมักจะยกสัญญายาวเหยียดที่เราเคยเซ็นยอมรับไว้ตั้งแต่วันสมัครบัตรเครดิตมาเป็นข้ออ้างให้เราใช้หนี้ที่ไม่ได้ก่ออีกต่อไป
หากอยากรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นอย่างไร และถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เราต้องทำอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับเจ้าของบัตรเครดิตคนหนึ่งที่มีวงเงินสูงถึง 2,000,000 บาท และเพื่อความเข้าใจง่าย จะขอสมมติชื่อว่า คุณ A
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อข้อมูลบัตรของ คุณ A ถูกมิจฉาชีพขโมยไปทำบัตรเครดิตปลอม แล้วเอาไปรูดซื้อของตามร้านค้า คิดเป็นเงินรวมประมาณ 172,000 บาท
ซึ่งการรูดบัตรเป็นการใช้งานผ่านเครื่องรูดบัตรหน้าร้าน ไม่ใช่การซื้อของออนไลน์ จึงไม่มีการส่งรหัส OTP แจ้งเตือนมาที่มือถือ ทำให้คุณ A มารู้เรื่องตอนที่เห็นใบแจ้งยอดบัตรเครดิต
และเมื่อตรวจสอบพบว่าไม่ใช่ยอดที่ตัวเองใช้ คุณ A จึงรีบทำหนังสือปฏิเสธยอดหนี้ส่งให้ธนาคาร พร้อมแจ้งอายัดบัตรทันที
อีกทั้งยังไปแจ้งตำรวจแล้วลงบันทึกประจำวัน เพื่อให้สืบหาตัวมิจฉาชีพมาลงโทษ และใช้เป็นหลักฐานยืนยันความบริสุทธิ์ด้วย
จากนั้น คุณ A ก็เลือกจ่ายค่าบัตรเครดิตเฉพาะส่วนที่ตัวเองใช้จริงโดยไม่จ่ายยอดที่มิจฉาชีพรูดไป แต่ทางฝั่งธนาคารกลับมองว่าคุณ A ผิดนัดชำระหนี้ จึงยื่นฟ้องเรียกเก็บเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
จนนำไปสู่การต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความจริงในชั้นศาล
และศาลฎีกาได้มีคำตัดสินให้ คุณ A เป็นฝ่ายชนะคดี
โดยได้วางหลักการสำคัญอย่างที่กล่าวไปตอนข้างต้นบทความว่า..
“ธนาคารมีหน้าที่ในการพิสูจน์ว่า เจ้าของบัตรเป็นคนใช้บัตรใบนั้นจริง หากธนาคารไม่มีหลักฐานมายืนยัน ถือว่าเจ้าของบัตรไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ดังกล่าว”
เหตุผลเพราะศาลมองว่า ธนาคารคือเจ้าของระบบที่มีความพร้อมทั้งบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและมีข้อมูลทั้งหมดอยู่ในมือ
ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหา ธนาคารจึงต้องเป็นฝ่ายหาพยาน และหลักฐานมาแสดงต่อศาล โดยห้ามผลักภาระไปให้ลูกค้า
อีกทั้งการที่มีรายการใช้บัตรเกิดขึ้น ก็ไม่ได้หมายความว่า
เจ้าของบัตรเครดิตจะเป็นผู้ที่ทำธุรกรรมเสมอไป
เพราะอย่างในกรณีของคุณ A ลายเซ็นในสำเนาเซลส์สลิปที่เกิดขึ้นจากการรูดซื้อของ ก็ไม่เหมือนกับลายเซ็นจริงของคุณ A เลยแม้แต่นิดเดียว
อีกทั้งธนาคารเองก็สามารถตรวจสอบได้จากกล้องวงจรปิดของร้านค้าคู่สัญญาที่จะเห็นหน้าคนรูดชัด ๆ แต่ธนาคารก็ไม่เอามาเป็นหลักฐาน
เมื่อธนาคารพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นคนรูด ศาลจึงตัดสินให้คุณ A ไม่ต้องรับผิดชอบหนี้ก้อนนั้น
ทีนี้กลับมาที่คำถามสำคัญว่า หากวันหนึ่งเราต้องเจอปัญหาแบบเดียวกัน เราควรทำอย่างไรบ้าง
จากบทเรียนความสำเร็จในคดีของคุณ A และคำแนะนำของสภาผู้บริโภค สิ่งที่เราควรทำทันทีเพื่อปกป้องสิทธิและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง คือ
1. แจ้งธนาคารเพื่ออายัดทันที และทำหนังสือปฏิเสธยอดหนี้กับธนาคารเป็นลายลักษณ์อักษร
เพราะนี่คือหลักฐานสำคัญที่ศาลใช้พิจารณาว่า เรามีความระมัดระวัง ไม่ได้มีความประมาทเลินเล่อ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตที่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม อย่าลืมชำระหนี้ในส่วนที่เราได้ใช้จ่ายจริงด้วย เพื่อยืนยันความสุจริตใจว่าเราไม่ได้มีเจตนาจะเบี้ยวหนี้
2. แจ้งความลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจให้เร็วที่สุด
เพื่อให้ตำรวจดำเนินการสืบหาตัวคนร้าย เพราะเป็นหลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าเราไม่ได้เป็นคนทำธุรกรรมเอง
ที่สำคัญต้องเก็บหลักฐาน ทั้งบันทึกการแจ้งอายัด หนังสือปฏิเสธรายการใช้บัตรเครดิต ใบแจ้งหนี้ที่มีปัญหา และใบแจ้งความ รวมถึงหลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ให้ครบถ้วน
3. หากไม่รู้จะเริ่มอย่างไร สามารถโทรหาสายด่วน 1441
ซึ่งเป็นการติดต่อศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ ที่ติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อขอคำปรึกษา แจ้งเหตุ หรือขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับภัยออนไลน์ได้ทุกรูปแบบ
4. หากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการดำเนินการของธนาคาร
เราก็สามารถร้องเรียนได้ที่สภาผู้บริโภค ที่เบอร์ 1502
เพื่อให้ทางหน่วยงานช่วยดำเนินการประสานงานให้เราอีกทาง
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็จะเห็นว่าคดีของคุณ A ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของคนคนเดียว แต่ถือเป็นคำตัดสินที่สะท้อนว่า
ศาลได้วางบรรทัดฐานใหม่ ที่ช่วยยกระดับความคุ้มครองของพวกเราทุกคน
อย่างไรก็ตาม แม้คำตัดสินของศาลฎีกานี้ จะเป็นข่าวดีสำหรับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ แต่การไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลด้วยเรื่องแบบนี้ตั้งแต่แรก ก็ย่อมจะดีกว่า
เราจึงต้องหมั่นเช็กยอดใช้จ่ายในบัตรเครดิตเสมอ ว่ามียอดที่เราไม่ได้ใช้จ่ายจริง ๆ โผล่มาไหม และเปิดแจ้งเตือนการทำธุรกรรมทุกครั้ง
ระมัดระวัง ไม่ให้ข้อมูลส่วนตัวของตัวเอง หลุดไปอยู่ในมือของคนที่ไม่หวังดี
แต่ถ้าหากเราป้องกันเต็มที่ แล้วยังถูกแฮ็กบัตรไปใช้แบบนี้ ก็อย่าลืมทำตามทั้ง 4 ขั้นตอน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ เพื่อไม่ให้เราต้องใช้หนี้ที่ตัวเองไม่ได้ก่อ..
#วางแผนการเงิน
#บัตรเครดิต
#บัตรโดนแฮ็ก
References
-คำพิพากษาฎีกาที่ 2624 / 2568