
ทำเป๊ะ vs ทำไว บทเรียนการค้า จากปรัชญาธุรกิจของญี่ปุ่นและจีน
9 ธ.ค. 2025
ในช่วงนี้การทวีความตึงเครียดระหว่าง 2 มหาอำนาจ อย่างจีนและญี่ปุ่น กำลังทำให้ทั่วโลกหันมามอง
แต่ที่จริงหนึ่งในสมรภูมิที่ดุเดือดที่สุดของ 2 ประเทศในตอนนี้ ยังไม่ใช่สมรภูมิที่ใช้กำลังทหารเข้าห้ำหั่นกัน
แต่คือการปะทะกันในสนามการค้า ด้วยปรัชญาธุรกิจอย่าง “Monozukuri” จากญี่ปุ่นผู้เป็นเจ้าแห่งความเป๊ะ และ “China Speed” จากจีนเจ้าแห่งการคิดไวทำไว
ซึ่งต่อสู้กันในตลาดโลกอย่างดุเดือด ราวกับสงครามผ่านเชลฟ์วางสินค้า ที่มีผู้บริโภคอย่างเราเป็นคนตัดสิน
แล้วท่าไม้ตายของปรัชญาธุรกิจจาก 2 ประเทศนี้ คืออะไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ถ้าเราเคยได้ยินเรื่องราวของช่างตีดาบซามูไร ที่ว่าต้องตีเหล็กทับกันถึง 1,000 ชั้น เพื่อให้ดาบคมกริบและสวยงามที่สุด
จิตวิญญาณนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่ฝังรากลึกและส่งต่อให้กับชาวญี่ปุ่นรุ่นต่อไป เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ผ่านปรัชญาที่เรียกว่า “Monozukuri”
อันมาจากการรวมคำว่า Mono (もの) ที่แปลว่าสิ่งของ กับ Zukuri (づくり) ที่แปลว่าการทำ
และไม่ใช่แค่การทำสิ่งของให้เสร็จ ๆ ไปเท่านั้น แต่ต้องเป็นการทำด้วยความมุ่งมั่น ว่าสิ่งของที่ทำออกมานั้นจะต้องสมบูรณ์แบบ ด้วยการใส่ใจในทุกขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้ผิดพลาดน้อยที่สุด
ปรัชญานี้แม้จะแฝงอยู่ในธุรกิจของญี่ปุ่นมาเนิ่นนาน จนเกิดเป็นแนวคิดทางธุรกิจ เช่น Kaizen ที่เน้นการพัฒนาให้ดีขึ้นทีละน้อยแต่สม่ำเสมอ
แต่ปรัชญาในการทำธุรกิจนี้ ถูกรัฐบาลญี่ปุ่น ยกระดับให้เป็นวาระแห่งชาติ ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 เพื่อพัฒนาภาคการผลิตซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจญี่ปุ่น ให้ก้าวหน้าไปมากกว่าเดิม
เพราะตอนนั้นญี่ปุ่นต้องเผชิญกับเศรษฐกิจซบเซา ยังไม่ฟื้นจากฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตก และการแข่งขันจากประเทศอุตสาหกรรมเกิดใหม่ ที่ผลิตสินค้าได้ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า จากค่าแรงที่ถูกกว่า
นั่นจึงทำให้ปรัชญานี้ ที่ทุกคนต่างก็มุ่งมั่นว่าจะต้อง “ทำเป๊ะ” ถูกปลูกฝังให้กับธุรกิจตั้งแต่ SMEs ไปจนถึงธุรกิจข้ามชาติอย่างเป็นระบบ
ข้อความ “Made In Japan” ที่แปะอยู่บนทุกสินค้า จึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพ และความน่าเชื่อถือที่สูง
แต่ในขณะที่ญี่ปุ่นบ่มเพาะปรัชญาธุรกิจและวัฒนธรรมความเป๊ะมาหลาย 100 ปี
ตัดภาพมาที่จีนแผ่นดินใหญ่ ในช่วงทศวรรษ 1980 ประเทศนี้เหมือนเพิ่งเกิดใหม่อีกรอบ
หลังผ่านการตัดสินใจทางนโยบายเศรษฐกิจที่ผิดพลาด จนผู้คนล้มตายเป็นล้าน และการปฏิวัติวัฒนธรรม ที่ทำให้ภูมิปัญญามีค่ามากมายสาบสูญ
ทางรัฐบาลจีนที่รู้ตัวดีว่าถ้าไม่เร่งรีบปฏิรูปประเทศในตอนนี้ พวกเขาจะไม่มีวันตามใครได้ทันอีกเลย
นั่นจึงนำมาสู่วลีที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ในช่วงนั้นอย่าง “เวลาคือเงิน ประสิทธิภาพคือชีวิต” (时间就是金钱,效率就是生命)
สิ่งที่เป็นภาพสะท้อนว่าประโยคนี้ ไม่ได้มีเอาไว้พูดเท่ ๆ คือการที่รัฐบาลจีน สามารถพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น จากหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ไม่มีใครสนใจ ที่ตั้งอยู่ตรงข้ามความศิวิไลซ์ของฮ่องกง
ให้กลายเป็นมหานครที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคนขึ้นมาได้ ภายในระยะเวลาแค่ 20 ปีเท่านั้น
อีกทั้งยังมีตำนานการสร้างตึก Guomao ในปี 1985 ตึกระฟ้าแห่งแรก ๆ ของจีน ที่เมืองเซินเจิ้น ซึ่งว่ากันว่า ชั้นของตึก 1 ชั้น ใช้เวลาสร้างกันเพียงแค่ 3 วันเท่านั้นเอง
และจากการพัฒนาในระดับประเทศ วิธีคิดแบบนี้ก็เผยแผ่ไปสู่ภาคธุรกิจ กลายเป็นปรัชญา China Speed ที่ฝังหัวเถ้าแก่ยุคใหม่ของจีน ว่าจะต้อง “ทำไว” ไม่งั้นจะสู้ใครไม่ได้เลย
จากนั้นการปะทะกันของ 2 ปรัชญาธุรกิจนี้ในเวทีการค้าโลกก็เข้มข้นขึ้น เมื่อจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO ในปี 2001 ซึ่งจะช่วยให้จีนส่งออกสินค้าไปยังตลาดโลกได้สะดวกขึ้น
ซึ่งความเป๊ะจากปรัชญา Monozukuri ของญี่ปุ่นนั้น แม้จะมีข้อดีคือ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นได้เลยว่าสินค้าทุกชิ้น จะมีคุณภาพดี ไม่มีตำหนิ
ถึงอย่างนั้นก็แลกมากับความยืดหยุ่นที่น้อย เพราะจะเปลี่ยนอะไรแต่ละที ก็ต้องใช้เวลาคิดให้รอบคอบและสมบูรณ์แบบที่สุด
จนบางครั้งก็อาจจะทำให้แบรนด์ญี่ปุ่นปรับตัวค่อนข้างช้า กับกระแสโลกที่เปลี่ยนไปเร็วขึ้น
เช่น ธุรกิจรถยนต์ ที่ทาง Toyota กว่าจะใช้เวลาออกรถสักรุ่น ต้องใช้เวลา 4 ถึง 5 ปี ในขณะที่ BYD สามารถออกรถรุ่นใหม่ โดยใช้เวลาเพียงแค่ 18 เดือน หรือ 1 ปีครึ่ง เท่านั้น
หรืออย่างในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่แบรนด์จีนไม่ได้ชนะแบรนด์ญี่ปุ่นด้วยการขายตัดราคาเท่านั้น
แต่ด้วยปรัชญา China Speed ก็ทำให้แบรนด์จีน สามารถออกสินค้ารูปแบบใหม่ ให้ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าได้เร็วกว่า
เช่น Haier ที่เคยมองเห็นว่าลูกค้าในชนบท มักจะเอาเครื่องซักผ้าไปล้างผักจนเครื่องซักผ้าเสีย พวกเขาก็สามารถนำ Insight นั้นมา ออกแบบและผลิตเครื่องซักผ้าที่ล้างผักได้ด้วย สู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว
ปัจจุบัน เครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ญี่ปุ่นหลายแบรนด์ จึงโดนบริษัทจากจีนมาซื้อกิจการไป
เช่น Toshiba ในส่วนของการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าที่โดน Midea Group ซื้อกิจการไป รวมถึง Sanyo ที่โดน Haier ซื้อกิจการเช่นกัน
ซึ่งการออกสินค้าเร็ว ๆ แบบนี้ แน่นอนว่าต้องเจอกับความผิดพลาดได้ง่าย จนทำให้หลายคนมีภาพจำว่าแบรนด์จีน ไม่ใส่ใจเรื่องคุณภาพ
แต่จริง ๆ แล้ว พวกเขาต้องการรับ Feedback จากลูกค้าผ่านการใช้จริง เพราะมั่นใจว่าด้วยปรัชญา China Speed สินค้าที่ปรับปรุงคุณภาพมาใหม่ จะถูกส่งออกไปวางขายแทนได้ในเวลาไม่กี่เดือน
ถึงอย่างนั้น การที่แบรนด์ญี่ปุ่นค่อย ๆ ถูกแบรนด์จีนแทนที่บนชั้นวางสินค้า ก็ไม่ได้หมายความว่า แบรนด์ญี่ปุ่น ไม่มีที่ยืนในโลกธุรกิจแล้ว
เพราะในวันที่เทคโนโลยีเริ่มซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ DNA ความเป๊ะของญี่ปุ่น ก็ยิ่งเป็นที่ต้องการ
เห็นได้ชัด ๆ เลยก็คือ อุตสาหกรรมชิป อุปกรณ์ขนาดเล็กกว่าตาเห็น ที่การประกอบผิดพลาดแค่นาโนเมตร ก็ทำให้ชิปนั้นกลายเป็นขยะไร้ค่า
โดยบริษัทญี่ปุ่นหลากหลายแห่ง ต่างก็เป็นผู้เล่นสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ ในบทบาทที่แตกต่างกันออกไป เช่น
- Shin-Etsu Chemical ผู้ผลิตซิลิคอนเวเฟอร์ หรือแผ่นชิป ที่ TSMC หรือผู้ผลิตชิปอื่น ๆ จะไปใส่วงจรต่าง ๆ ต่อ และสารเคมีไวแสงที่จำเป็นในการผลิตชิป
- Tokyo Electron ผู้ผลิตเครื่องจักรเคลือบและล้างแผ่นชิป ในกระบวนการผลิต ที่ครองส่วนแบ่งตลาดโลกกว่า 90%
ส่วนในธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และรถยนต์ แม้ในฉากหน้าญี่ปุ่นจะถูกจีนไล่ต้อน แต่ในฉากหลังแล้ว ญี่ปุ่นก็ยังไม่หายไปไหน แถมยังฝังอยู่ในสินค้าของจีนจากหลายบริษัท ที่ส่งออกไปตีตลาดโลกเสียด้วยซ้ำ
เพราะถ้าอยากให้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟ ก็ต้องใช้อุปกรณ์ชื่อ Intelligent Power Module จากผู้เล่นคนสำคัญของวงการนี้อย่าง Mitsubishi Electric
หรือถ้าอยากให้รถ EV สามารถเบรก เลี้ยว และเร่งความเร็ว ได้อย่างราบรื่น ก็ต้องใช้ชิป MCU ที่เป็นเหมือนสมองของรถ จากหนึ่งในผู้เล่นคนสำคัญของวงการอย่าง Renesas Technologies
ถึงตรงนี้จะเห็นได้ว่า แม้ปรัชญาการทำธุรกิจของญี่ปุ่นและจีนจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ปรัชญาการทำธุรกิจของแต่ละประเทศนั้น ก็สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้คนละแบบ
ลูกค้าที่ต้องการความเป๊ะ สมบูรณ์แบบ และความน่าเชื่อถือสูง ก็จะให้น้ำหนักความเป๊ะแบบญี่ปุ่น มากกว่าความไว แต่ผิดง่ายแบบจีน
ในขณะที่ผู้คนทั่วไป ที่อยากใช้งานสินค้าราคาถูก เปลี่ยนบ่อย ๆ ก็คงให้ค่าความไวของจีน มากกว่าความเป๊ะ แต่รอนานของญี่ปุ่น
ทีนี้ถ้าหากถามว่า แล้วธุรกิจของเราจะเลือกเดินไปในทางไหน ?
คำตอบอาจจะเป็นการที่เราไม่ต้องเลือก แต่นำข้อดีของแต่ละปรัชญาธุรกิจ มาผสมผสานกัน ไม่ก็หยิบแต่ละปรัชญามาใช้ ให้เหมาะกับสถานการณ์หรืออุตสาหกรรม ที่เราทำธุรกิจอยู่
ขนาดเจ้าแห่งความเป๊ะอย่าง Toyota ก็จับมือกันกับคู่แข่งผู้คิดไวทำไวอย่าง BYD ตั้งบริษัทร่วมทุนชื่อ BYD Toyota EV Technology ในปี 2020 ที่ผ่านมา
เพราะสุดท้ายสงครามแห่งโลกธุรกิจ ไม่มีรางวัลพิเศษให้กับคนที่เป๊ะที่สุด หรือไวที่สุด
แต่คนที่จะอยู่รอดได้เสมอ คือคนที่สามารถตัดสินใจได้ถูกต้อง ว่าเมื่อไรควรเป๊ะ และเมื่อไรควรไว..
#ธุรกิจ
#โมเดลธุรกิจ
#จีนญี่ปุ่น
References