
วิเคราะห์อัตราส่วน P/E อย่างไร ให้บอกเราได้มากกว่าธุรกิจถูกหรือแพง ผ่านดีล CRG ซื้อ ลัคกี้สุกี้
15 พ.ย. 2025
เมื่อวานนี้ทาง บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL ได้ประกาศผ่านทางข่าวตลาดหลักทรัพย์
ว่าได้ให้บริษัท เซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด หรือ CRG บริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจร้านอาหารของ CENTEL เข้าซื้อหุ้น บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของร้าน “ลัคกี้สุกี้” 27 สาขา และ “ลัคกี้บาร์บีคิว” 11 สาขา คิดเป็น 38 สาขา
โดยเป็นการเข้าถือหุ้น 40% คิดเป็นเงินมูลค่า 940 ล้านบาท ทำให้ถ้าเราคิดย้อนกลับจากมูลค่าเงินลงทุนและสัดส่วนของการถือหุ้น
จะได้ว่าตอนนี้ บริษัท มิราเคิล แพลนเนท จำกัด เจ้าของลัคกี้สุกี้ มีมูลค่าบริษัท = 940 / 0.4 = 2,350 ล้านบาท
การเข้าซื้อลัคกี้สุกี้ของทางกลุ่ม CRG ในครั้งนี้ น่าจะเป็นการเติมร้านอาหารประเภทใหม่เข้าสู่พอร์ตร้านอาหารที่มีอยู่
เพราะแบรนด์ร้านอาหารของในมือของ CRG นั้น ยังไม่มีร้านสุกี้เลย ที่ใกล้เคียงก็มีเพียงแค่ร้านนักล่าหมูกระทะเท่านั้น
แต่ในทุก ๆ ดีลการซื้อกิจการของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง โดยเฉพาะบริษัทที่เรากำลังถือหุ้นอยู่
สิ่งที่ผู้ถือหุ้นอย่างเราควรจะคำนึงถึงด้วยก็คือ การซื้อกิจการในครั้งนี้ ถูกหรือแพงเกินไปหรือไม่ ?
เพื่อจะตอบคำถามนี้ได้แบบคร่าว ๆ เราก็คงต้องยืมเครื่องมือประเมินมูลค่าที่เรียกว่า “อัตราส่วน P/E” มาใช้กัน
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จักอัตราส่วน P/E ก็ต้องบอกว่า เป็นอัตราส่วนที่เราเอาไว้ใช้ดูว่า ถ้าหากเราลงทุนตอนนี้ บริษัทต้องทำกำไรได้เท่าเดิมกี่ปีถึงจะคืนทุนของเราได้
โดยเอา มูลค่ากิจการ หรือ ราคาต่อหุ้น หารด้วย กำไรสุทธิ หรือ กำไรสุทธิต่อหุ้น
เหล่านักลงทุนจึงมักจะใช้อัตราส่วนนี้ในการบอกถึงความถูกแพงของหุ้น
โดยนำไปเทียบกับอัตราส่วน P/E ของธุรกิจที่คล้าย ๆ กัน หรือ อัตราส่วน P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่บริษัทนั้นทำธุรกิจอยู่ ว่าถูกหรือแพงกว่ากันอย่างไร
ทีนี้จากข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้แสดงให้เห็นว่าในปี 2567 บริษัท มิราเคิล แพลนเนท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ประมาณ 108 ล้านบาท
ส่วนมูลค่ากิจการที่เราคำนวณไว้ตั้งแต่แรกก็คือ 2,350 ล้านบาท ทำให้เราได้ P/E ของลัคกี้สุกี้ ที่ทาง CRG ซื้อ = 2,350 / 108 = ประมาณ 22 เท่า
โดยถ้าหากเราเทียบกับตอนที่บริษัท JMART เข้าซื้อหุ้นสุกี้ตี๋น้อย 30% เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 หรือ 3 ปีที่แล้ว ด้วยเงิน 1,200 ล้านบาท ซึ่งคิดกลับเป็นมูลค่าบริษัทได้ 4,000 ล้านบาท
และเมื่อคิดจากกำไรสุทธิปี 2564 ของบริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด เจ้าของสุกี้ตี๋น้อย ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 148 ล้านบาท
เนื่องจาก JMART ซื้อในปี 2565 ก็จริง แต่กำไรปี 2565 มาจากการทำธุรกิจเต็มปี และทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ไม่ได้มีการเปิดผลประกอบการรายไตรมาสของบริษัทนอกตลาดหุ้น
ทำให้อัตราส่วน P/E ที่ JMART ซื้อสุกี้ตี๋น้อยตอนนั้น = 4,000 / 148 = 27 เท่า
ซึ่งในตอนนั้นจำนวนสาขาของสุกี้ตี๋น้อยอยู่ที่ 42 สาขา ค่อนข้างใกล้เคียงกับลัคกี้สุกี้ตอนนี้
แต่จะเห็นได้ว่า อัตราส่วน P/E ของลัคกี้สุกี้ จะต่ำกว่าสุกี้ตี๋น้อยตอนที่โดน JMART ซื้อ
นั่นก็เป็นเพราะว่าในช่วงเวลาดังกล่าว กระแสของสุกี้ตี๋น้อยเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศ ซึ่งเป็นภาพที่ค่อนข้างต่างกันกับลัคกี้สุกี้ในตอนนี้ ที่ยังไม่ได้เป็นที่รู้จักแบบนั้น
ทีนี้ถ้าหากเทียบกับอัตราส่วน P/E เฉลี่ยของอุตสาหกรรมร้านอาหารในตลาดหุ้นไทยดู ก็ต้องบอกว่าลัคกี้สุกี้มีอัตราส่วน P/E ที่สูงกว่าเล็กน้อย
เพราะหุ้นร้านอาหารของไทยเฉลี่ยแล้วมี P/E กันอยู่ในช่วงประมาณ 15 ถึง 20 เท่า เท่านั้น
ทำให้ถ้าเราลองสวมแว่นของผู้บริหาร CRG ก็แปลว่าการลงทุนกับลัคกี้สุกี้ในราคานี้นั้น ค่อนข้างสมเหตุสมผลแล้ว เพราะก็ไม่ได้ซื้อในราคาที่แพงไปกว่าธุรกิจที่คล้าย ๆ นัก
แต่สิ่งที่น่าจะทำให้ผู้บริหาร CRG ตีค่าของลัคกี้สุกี้ สูงกว่าร้านอาหารอื่น ๆ ในอุตสาหกรรม นั่นก็เป็นเพราะว่าลัคกี้สุกี้มีตัวเลขการเติบโตที่ไม่ธรรมดา
โดยในปี 2565 ลัคกี้สุกี้มีกำไร 3 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 ที่ผ่านมามีกำไร 108 ล้านบาท
ทำให้เมื่อเราคำนวณหาอัตราการเติบโตของกำไรแบบเฉลี่ยทบต้น ก็จะได้ว่าลัคกี้สุกี้ มีกำไรเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 500%
ในขณะที่สุกี้ตี๋น้อย ในช่วงปี 2562 ถึงปี 2564 ซึ่งเป็นเวลา 2 ปีก่อนหน้าที่ JMART จะเข้ามาซื้อ อยู่ที่ปีละ 213%
ด้วยการเติบโตที่สูงขนาดนี้ ทั้งที่เริ่มทำธุรกิจในปี 2565 หรือก็คือเพียงแค่ 3 ปี
จึงไม่น่าแปลกใจที่ CRG จะเข้าซื้อลัคกี้สุกี้ อาจจะด้วยศักยภาพในการเติบโตที่สูงอยู่แล้ว ถ้ามาอยู่ในมือของกลุ่มเซ็นทรัล
ที่มีทั้ง Know-How ในการบริหารร้านอาหาร, ระบบหลังบ้าน และเทคโนโลยีในร้านอาหารต่าง ๆ ก็อาจจะขยายเพิ่มได้มากกว่านี้อีก
แต่ต้องไม่ลืมด้วยว่า การแข่งขันของร้านสุกี้นั้น มีแต่จะรุนแรงขึ้นไปในอนาคตอันใกล้ จากสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นอย่างชัดเจน
จึงต้องติดตามกันต่อไปว่าลัคกี้สุกี้ ในมือของกลุ่มเซ็นทรัล จะสร้างการเติบโตในระดับหลัก 100% ไปได้อีกนานแค่ไหน
เพราะตัวเลขการเติบโตในระดับนี้ไม่ใช่ตัวเลขที่ยั่งยืนของธุรกิจร้านอาหารอยู่แล้ว
สิ่งที่เราทำได้ตอนนี้ จึงมีเพียงแค่รอให้กาลเวลาเป็นคนเฉลยคำตอบเท่านั้น
ว่าการเข้าซื้อลัคกี้สุกี้ในครั้งนี้ จะเป็นดีลที่ประสบความสำเร็จ คุ้มค่ากับเงินลงทุนของ กลุ่มเซ็นทรัลหรือไม่
แต่สิ่งที่นักลงทุนอย่างเรา สามารถเรียนรู้จากดีลนี้ได้เลยนั่นก็คือ เครื่องมือง่าย ๆ อย่างอัตราส่วน P/E สามารถบอกอะไรเราได้มากกว่าหุ้นถูกหรือแพง
เพียงแต่เราต้องเจาะลึกลงไป ว่าทำไมอัตราส่วน P/E ของบริษัทหนึ่งถึงแพงกว่าอีกบริษัท ทั้ง ๆ ที่ทำธุรกิจคล้ายคลึงกัน
หลังจากนั้นเราก็จะได้เข้าใจเรื่องราวอีกมากมายที่ซ่อนอยู่หลังตัวเลข P/E ที่บางทีงบการเงินก็ไม่ได้บอกเราด้วย
เพราะฉะนั้นในครั้งหน้าที่เราจะเริ่มดูอัตราส่วน P/E ก็อย่ามองเพียงแค่ว่าหุ้นตัวไหนถูกกว่ากันเท่านั้น
แต่ให้เสาะหาเหตุผลด้วยว่า หุ้นตัวนั้นมีมูลค่าที่คู่ควรกับศักยภาพของธุรกิจที่มีอยู่หรือไม่..
#ลงทุน
#หุ้นไทย
#ลัคกี้สุกี้
References
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า