
Cadence หนึ่งในตัวละครลับ ผู้อยู่เบื้องหลังสมองของ AI
12 พ.ย. 2025
เมื่อพูดถึงชิปที่ใช้ในการประมวลผลของ AI หลายคนน่าจะนึกถึงบริษัทอย่าง Nvidia หรือ AMD ที่เป็นผู้ออกแบบชิป
แต่บริษัทเหล่านี้จะไม่สามารถทำงานได้เลย หากไม่มีบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นเจ้าของซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการออกแบบชิป
และบริษัทที่ว่านี้ก็คือ Cadence Design Systems, Inc. หรือ CDNS
เรียกได้ว่า CDNS คือผู้อยู่เบื้องหลังในการออกแบบเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกในยุคปัจจุบัน อย่างชิป AI ได้เลย
แล้วบริษัทนี้มีความน่าสนใจมากแค่ไหน ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
Cadence Design Systems เกิดจากการควบรวมกิจการกันระหว่าง 2 บริษัท ที่ทำโปรแกรมออกแบบในวงการวิศวกรรมชิป คือ บริษัท Silicon Design Automation (SDC) และ ECAD ในปี 1988
โดยมีคุณ Joseph Costello อดีตประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการของ SDC ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น CEO ของบริษัท Cadence Design Systems ภายหลังที่การควบรวมเสร็จสิ้น
คุณ Joseph คนนี้เอง ที่จะเป็นคนปลุกปั้นให้ Cadence กลายมาเป็นบริษัทผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ออกแบบชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
แต่กระบวนการออกแบบชิป เป็นงานด้านวิศวกรรมที่ซับซ้อนมาก การออกแบบตั้งแต่ต้นจนจบ อาจจะต้องใช้ซอฟต์แวร์หลายตัว ทำให้เป็นเรื่องยากมากที่จะมีบริษัทไหนเป็นเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมนี้
โดยกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจของคุณ Joseph ก็คือ การเข้าซื้อบริษัทสตาร์ตอัป หรือบางครั้งก็เป็นแผนกเล็ก ๆ ของบริษัทใหญ่อย่าง IBM เพื่อครอบครองเทคโนโลยี
เพราะในยุคทศวรรษ 1990 เป็นช่วงที่อุตสาหกรรมชิปเซมิคอนดักเตอร์เพิ่งเริ่มตั้งไข่ จึงมีบริษัทสตาร์ตอัปเล็ก ๆ หลายแห่งที่ยังไม่มีกำไร แต่ครอบครองเทคโนโลยีสำคัญ ๆ ไว้อยู่มาก
Cadence จึงไม่ต้องทุ่มเงินลงทุนมหาศาลพัฒนาซอฟต์แวร์เองทั้งหมด แต่ใช้เงินที่ไม่เยอะมากในการเข้าซื้อกิจการสตาร์ตอัปเล็ก ๆ แทน
ไม่นาน Cadence ก็กลายมาเป็นผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ออกแบบชิปรายใหญ่ที่สุดในโลก
ปัจจุบัน Cadence มีโมเดลการหารายได้ด้วยกันอยู่ 2 รูปแบบหลัก ๆ คือ
1. รายได้จากการเก็บค่าใช้งานซอฟต์แวร์ออกแบบชิป
ซึ่งบริษัทจะทำสัญญากับลูกค้าเป็นระยะเวลาประมาณ 2 ถึง 3 ปี
แล้วถ้าหมดอายุสัญญา ก็จะมีการต่ออายุสัญญาไปเรื่อย ๆ เหมือนกับที่เราสมัครเป็นสมาชิกแพลตฟอร์มสตรีมมิงเป็นรายปี แล้วต่ออายุเรื่อย ๆ นั่นเอง
ทำให้รายได้ในส่วนนี้ กลายมาเป็นรายได้ประจำที่สำคัญของบริษัท คิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 87% ของรายได้รวม
2. รายได้จากการขายทรัพย์สินทางปัญญา
หรือก็คือการขายชิปที่ถูกออกแบบมาสำเร็จรูปแล้ว ทำให้ลูกค้าไม่ต้องเริ่มออกแบบชิปเองแบบนับหนึ่งใหม่
ในส่วนนี้จะมีทั้งค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บครั้งเดียว และส่วนแบ่งรายได้ที่เรียกเก็บจากการนำชิปเหล่านี้ไปใช้ประโยชน์
หมายความว่ายิ่งชิปสำเร็จรูปที่ถูกออกแบบโดย Cadence ถูกนำไปใช้งานมากเท่าไร รายได้ในส่วนนี้ก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
รายได้ส่วนนี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 13% ของรายได้รวมทั้งหมดของ Cadence
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะกังวลว่า Cadence จะต้องพึ่งพารายได้จากลูกค้ารายใหญ่อย่าง Nvidia หรือ AMD มากจนเกินไปหรือไม่
แต่ในความเป็นจริงแล้ว Cadence ไม่มีลูกค้ารายใดรายหนึ่งที่สร้างรายได้ให้บริษัทเกิน 10% ของรายได้รวมเลย
เพราะ Cadence ไม่ได้มีแค่ลูกค้าที่เป็นบริษัทออกแบบชิปอย่าง Nvidia และ AMD เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้ให้บริการ Cloud Computing รายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น Google, Amazon, Microsoft หรือแม้แต่ Alibaba
เพราะกลุ่มธุรกิจ Hyperscalers รายใหญ่เหล่านี้ มักเลือกที่จะออกแบบชิปบางส่วนที่ใช้ในศูนย์ข้อมูลของตัวเอง ทำให้ต้องมาใช้ซอฟต์แวร์ของ Cadence ด้วย
รวมไปถึงผู้ผลิตรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่มีการออกแบบชิปเองบางส่วน ก็กลายมาเป็นลูกค้าของ Cadence ไปด้วย
เรียกได้ว่า แนวโน้มการพัฒนาชิปที่เกิดขึ้นในหลายอุตสาหกรรม กำลังเป็นตัวผลักดันให้ซอฟต์แวร์ของ Cadence เป็นที่ต้องการมากขึ้น
การจะบอกว่า Cadence เป็นหนึ่งในฟันเฟืองเบื้องหลังการคิดค้นเทคโนโลยีเปลี่ยนโลกอย่างแท้จริง ก็คงไม่ผิดนัก
เรื่องราวของ Cadence จึงเป็นตัวอย่างของธุรกิจที่แทบไม่เคยมีใครพูดถึง ไม่ได้อยู่ในหน้าสื่อที่ผู้คนให้ความสนใจ
แต่กลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลังชิป AI ของบริษัทดัง ๆ ที่คนทั้งโลกกำลังตื่นเต้นว่ามันจะเปลี่ยนโลกของเราอย่างไรบ้าง
และรับประโยชน์จากความต้องการชิป AI ที่กำลังเติบโตไปข้างหน้า แบบเงียบ ๆ อย่างมั่นคง..
หมายเหตุ : บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาชี้นำให้ซื้อหรือขายหุ้นเหล่านี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนการตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
#ลงทุน
#หุ้นนอก
#CDNS
References