ชำแหละความเสี่ยงเบื้องหลัง กองทุน ETFs ปันผลสูงทุกเดือน ทำไมตอนนี้ ราคาร่วงระนาว

ชำแหละความเสี่ยงเบื้องหลัง กองทุน ETFs ปันผลสูงทุกเดือน ทำไมตอนนี้ ราคาร่วงระนาว

30 ต.ค. 2025
TSLY, MSTY และ NVDY 
ตัวย่อเหล่านี้ น่าจะคุ้นตานักลงทุนหุ้นนอกกันดี เพราะตัวย่อเหล่านี้ คือกองทุน ETFs ที่ดูเหมือนจะจ่ายปันผลออกมาในอัตราที่สูงมาก 
หลายคนอาจจะเห็นว่าบางกองมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผล หรือ Dividend Yield มากกว่า 100% เลย
แต่คำถามที่น่าสนใจก็คือ สิ่งที่เราเห็น คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไหม ? แล้วอะไรคือความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่บ้าง
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
ก่อนอื่น เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า กองทุน ETFs ประเภทนี้ หาเงินที่ไหนมาจ่ายเป็นเงินปันผลให้นักลงทุนทุกเดือน หรือแม้กระทั่งจ่ายกันเป็นรายสัปดาห์เลย
รู้ไหมว่า กองทุน ETFs ของ YieldMax ไม่ได้นำเงินปันผลของหุ้นมาจ่ายนักลงทุน แต่เป็นเงินที่มาจากการใช้เครื่องมือที่เรียกว่า “Options”
สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่า Options คืออะไร อธิบายง่าย ๆ แบบนี้ว่า Options คือตราสารอนุพันธ์ที่สร้างผลตอบแทนล้อไปกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นอ้างอิง
ซึ่ง Options จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ 
1. Call Option คือสิทธิในการ “ซื้อ” สินทรัพย์อ้างอิงในราคาที่กำหนด เรียกว่า Strike Price 
นักลงทุนที่มองว่าราคาหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็มักจะซื้อ Call Option เพื่อที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นในราคาที่กำหนดไว้ (Strike Price) เมื่อราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
แต่ถ้าราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปต่ำกว่าราคา Strike Price ผู้ซื้อ Call Option ก็จะขาดทุนแค่ค่าพรีเมียม
โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นผู้ซื้อ หรือผู้ขาย Options ซึ่งสำหรับผู้ขาย Options จะได้รับผลตอบแทนเป็น “ค่าพรีเมียม” ซึ่งเป็นผลตอบแทนที่มีมูลค่าคงที่ ขาย Options แล้ว ก็จะได้รับเงินทันที
แต่ผู้ขาย Call Option จะมีข้อผูกมัดที่จะต้องขายหุ้นให้คนซื้อ Call Option ในราคา Strike Price เมื่อผู้ซื้อ Call Option ใช้สิทธิซื้อหุ้น
ซึ่งหากผู้ขาย Call Option ไม่มีหุ้นอยู่ในมือ ก็ต้องจ่ายเงินซื้อหุ้นที่ราคาตลาด ซึ่งมีความเสี่ยงว่าราคาหุ้นอาจขึ้นไปได้เรื่อย ๆ
2. Put Option คือสิทธิในการ “ขาย” สินทรัพย์อ้างอิงในราคา Strike Price
นักลงทุนที่ซื้อ Put Option คือนักลงทุนที่มองว่าราคาหุ้นอ้างอิงจะปรับตัวลดลงไปต่ำกว่า Strike Price เพื่อใช้สิทธิ Put Option ขายหุ้นทำกำไร
ส่วนผู้ขาย Put Option จะมีหน้าที่ในการรับซื้อหุ้นที่ราคา Strike Price หากผู้ซื้อ Put Option ใช้สิทธิขายหุ้นออกมา
ดังนั้นหากราคาหุ้นลดลงไป ผู้ขาย Put Option ก็จะขาดทุนจากการซื้อหุ้นที่ราคาแพงกว่าราคาตลาด
โดยกลยุทธ์ที่ YieldMax นิยมใช้ในการบริหาร ETFs คือกลยุทธ์ “Synthetic Covered Call” 
กลยุทธ์นี้เป็นการสร้างกระแสเงินสดออกมาเป็นรายเดือน หรือแม้กระทั่งรายสัปดาห์ จากการขาย Call Option ที่มีหุ้นของบริษัท Tesla, Strategy หรือ Nvidia เป็นสินทรัพย์อ้างอิง
แต่ผู้ขาย Call Option จะมีความเสี่ยงตรงที่ หากราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจนผู้ซื้อ Call Option ตัดสินใจใช้สิทธิซื้อหุ้นที่ราคา Strike Price ผู้ขาย Call Option ก็จะขาดทุน
ซึ่งผู้ขาย Call Option ที่ได้ซื้อหุ้นอ้างอิงในราคาต่ำรอไว้อยู่แล้ว ก็คงไม่ได้รู้สึกขาดทุนอะไร
แต่สำหรับกองทุน ETFs หลายกองของ YieldMax ไม่มีการถือหุ้นอ้างอิงเตรียมไว้เลย แต่ทำการสร้างหุ้นเทียมขึ้นมาจาก Options เรียกว่า “Synthetic Stock” ทำให้เสมือนว่าตัวเองมีหุ้นอยู่
วิธีการก็คือ ขาย Put Option เพื่อรับค่าพรีเมียม จากนั้นก็นำเงินค่าพรีเมียมที่ได้ไปซื้อ Call Option ที่ราคา Strike Price เดียวกัน และมีวันหมดอายุสัญญาเดียวกัน
การทำแบบนี้จะทำให้กองทุนของ YieldMax มีผลตอบแทนที่เหมือนกับว่าตัวเองมีหุ้นอยู่จริง ๆ เพราะหากหุ้นลง ก็จะขาดทุนจากการขาย Put Option
แต่หากหุ้นขึ้น ก็จะได้กำไรจากการซื้อ Call Option เสมือนว่าเราถือหุ้นอยู่จริง ๆ
แต่กำไรที่ได้ในส่วนนี้ ก็จะต้องนำไปหักล้างกับผลขาดทุนจากการขาย Call Option อยู่ดี
เพราะอย่าลืมว่า เราสร้างหุ้นเทียมขึ้นมา ก็เพื่อปิดความเสี่ยงจากการขาย Call Option ในตอนแรก ที่เป็นตัวสร้างกระแสเงินสดให้เรา
เท่ากับว่า หากหุ้นขึ้น กองทุนของ YieldMax จะได้กำไรสูงสุดคือค่าพรีเมียมที่ได้จากการขาย Call Option ซึ่งเงินส่วนนี้ก็จะเป็นเงินที่จ่ายออกมาเป็นปันผลให้นักลงทุนนั่นเอง
แต่หากหุ้นลง ก็จะทำให้ NAV ของกองทุนนี้ลดลงได้ เพราะทางกองทุนไม่ได้ปิดความเสี่ยงในกรณีที่หุ้นลงมา
และอีกสินทรัพย์ที่กองทุนนี้ลงทุนก็คือ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่นอกจากจะไว้รับดอกเบี้ย เพื่อเป็นอีกช่องทางในการสร้างกระแสเงินสดแล้ว
ทางกองทุนยังนำพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลักประกันในการขาย Options อีกด้วย
อีกหนึ่งความเสี่ยงที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ นโยบายการจ่ายปันผลของกองทุนของ YieldMax มักมีการจ่ายคืนเงินต้นของเรามาด้วย
การจ่ายคืนเงินต้นออกมานี่เอง ที่เป็นสาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้ราคา NAV ของกองทุนประเภทนี้ลดลง
ซึ่งการที่ราคา NAV ลดลงมาแบบนี้ ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนหลายคนเห็นว่ากองทุนของ YieldMax มีอัตราเงินปันผลตอบแทนสูงถึงหลัก 100% ได้
เพราะการคิด Dividend Yield จะคำนวณจากการนำเงินปันผลที่จ่ายออกมาในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง หารด้วยราคา NAV ปัจจุบัน หรือก็คือราคากองทุน ที่เราเห็นอยู่ในหน้าแอปที่เราใช้ลงทุน 
ทั้งนี้การนำเงินมาจ่ายปันผลมากเกินไป จะทำให้ราคา NAV ของกองทุนลดลงอย่างต่อเนื่อง และทำให้กองทุนมีเงินไปสร้างกระแสเงินสดได้ลดลง
กองทุนของ YieldMax หลายกองจึงมีประวัติการจ่ายปันผลที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
แต่ด้วยราคา NAV ในปัจจุบันที่ร่วงอย่างรวดเร็ว ก็เลยยังทำให้ Dividend Yield ของกองทุนของ YieldMax ดูสูงมาก 
จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะซื้อกองทุน YieldMax ในวันนี้ แล้วจะได้อัตราผลตอบแทนเงินปันผลตามตัวเลขที่เราเห็นจริง ๆ
ดังนั้นถ้าให้พูดแบบเข้าใจง่าย ๆ ก็คือ อัตราผลตอบแทนที่เราเห็น คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วในอดีต ไม่ได้หมายความว่าในอนาคต เราจะได้ผลตอบแทนตามนั้นจริง ๆ
อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนน่าจะพอรู้แล้วว่า ผลตอบแทนที่ดูเหมือนจะสูงของกองทุน YieldMax แท้จริงแล้วต้องแลกมากับความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่
เมื่อเงินไม่ได้หล่นมาจากฟากฟ้า เงินทุกบาท ทุกสตางค์ที่เราได้มาจากการลงทุนล้วนมีที่มา 
การเข้าใจว่าสินทรัพย์ที่เราลงทุนสร้างผลตอบแทนให้เราได้อย่างไร จะทำให้เราเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าอีกด้านหนึ่งของผลตอบแทนที่ดูสวยหรู 
เบื้องหลังนั้นมีความเสี่ยงอะไรเป็นกับดักที่เราต้องระวังตัวบ้าง
และเมื่อเราศึกษาหาความรู้อย่างละเอียดก่อนการลงทุนแล้ว เมื่อนั้นเราก็จะสร้างความมั่งคั่งผ่านตลาดหุ้นได้อย่างยั่งยืน..
#ลงทุน
#Options
#ปันผล
References
- เว็บไซต์ Thaibma
- เอกสารสรุป Prospectus ของกองทุน YieldMax
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.