
คู่มือภาษี สำหรับคนมีรายได้เสริม นอกจากงานประจำ ฉบับอ่านจบแล้ว นำไปใช้ได้เลย
16 ต.ค. 2025
ถ้าใครทำงานประจำ แล้วทำธุรกิจ Part-Time ไปด้วย
นี่คือบทความที่ควรอ่านเป็นอย่างยิ่ง
เพราะมัดรวมทุกเรื่องเกี่ยวกับภาษีสำหรับคนทำธุรกิจ Part-Time เอาไว้ ซึ่งถ้าอ่านจบ ก็สามารถนำไปใช้ได้ทันที
แล้วภาษีที่คนทำธุรกิจ Part-Time ต้องรู้มีอะไรบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
พูดถึงภาษี ให้เราจำง่าย ๆ เป็นหลักการแรกก่อนว่า
ไม่ว่าเราจะมีรายได้จากทางไหนก็ตาม เราต้องยื่นแบบภาษีให้กรมสรรพากรทั้งหมด
โดยสรรพากร มีการกำหนดชัดเจนว่า รายได้ทั้งหมดที่เราหาได้ในแต่ละปี จะอยู่ในประเภทไหนบ้าง ตามประเภทตั้งแต่ 40(1) ไปจนถึง 40(8)
ซึ่งสำหรับคนทำธุรกิจ Part-Time รายได้จากการทำธุรกิจส่วนนี้ หลัก ๆ แล้วก็มักจะเป็นเงินได้ประเภท 40(2), 40(6) หรือ 40(8) แล้วแต่ประเภทของธุรกิจที่เราทำ
ยังไม่ต้องตกใจเรื่องตัวเลขที่ดูยุ่งยาก เราลองมาค่อย ๆ เข้าใจรายได้แต่ละแบบไปพร้อมกัน
เริ่มกันที่เงินได้ประเภท 40(2)
รายได้ตรงนี้ คือ คนที่ทำธุรกิจรับจ้างเป็นครั้งคราวต่าง ๆ เช่น ฟรีแลนซ์ส่วนตัว ไปจนถึงอาชีพนายหน้าขายของออนไลน์หรือแปะลิงก์ Affiliate ตามช่องทางต่าง ๆ
ดังนั้น ถ้าเราเป็นคนทำธุรกิจ Part-Time แบบนี้ ก็ให้จำไว้ได้เลยว่า เรามีเงินได้ประเภท 40(2) เข้ามา
ซึ่งถ้าใครทำงานประจำไปด้วย รายได้จากงานประจำ
จะนับเป็นเงินได้ประเภท 40(1) ที่ไม่เกี่ยวกับ 40(2) แต่เงินได้ทั้ง 2 แบบต้องนำมารวมเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งหมด เพื่อคำนวณหาเงินได้สุทธิไปเสียภาษี
ต่อมาคือ เงินได้ประเภท 40(6)
ถ้าเราเป็นอาชีพที่มีใบประกอบวิชาชีพเฉพาะทาง เช่น หมอ เภสัชกร หมอฟัน แล้วไปทำคลินิกนอกเวลาของ
ตัวเอง ก็จะถือว่าเป็นรายได้แบบนี้
และสุดท้ายคือ เงินได้ประเภท 40(8)
รายได้การทำธุรกิจ Part-Time จะถูกนับแบบนี้ ก็ต่อเมื่อเราทำธุรกิจขายของออนไลน์ หรือทำธุรกิจอื่น ๆ เช่น ขายอาหาร ซ่อมเสื้อผ้า ทำรองเท้า ขายสบู่ เขียนนิยายออนไลน์ขาย
พูดง่าย ๆ คือ ถ้าไม่ใช่รายได้จากวิชาชีพหรือนายหน้าแปะลิงก์ Affiliate รายได้ที่เราทำธุรกิจ Part-Time ควบคู่ไปกับงานประจำ จะกลายเป็นเงินได้ 40(8) ไปเลย
คราวนี้ เมื่อเรารู้แล้วว่ารายได้จากการทำธุรกิจ Part-Time ของเราอยู่ในแบบไหน คำถามต่อมาคือ แล้วเมื่อไรที่เราถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี
ปกติแล้ว การดูว่าเราต้องเสียภาษีไหม ให้จำ 2 สมการง่าย ๆ แบบต่อไปนี้
ภาษีเงินได้ = อัตราภาษี x เงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ = รายได้รวม - ค่าใช้จ่าย - ค่าลดหย่อน
แปลว่า ถ้าเราอยากรู้ว่าต้องเสียภาษีเท่าไร ก็ต้องรู้ว่า
เงินได้สุทธิของเรามีมากแค่ไหนนั่นเอง
ซึ่งถ้าเราทำงานประจำ แล้วทำธุรกิจ Part-Time ไปด้วย
สมการเงินได้สุทธิก็จะออกมาหน้าตาประมาณนี้
เงินได้สุทธิ = (รายได้จากงานประจำ - ค่าใช้จ่าย) + (รายได้จากธุรกิจ Part-Time - ค่าใช้จ่าย) - ค่าลดหย่อน
จะเห็นได้ว่า รายได้จากงานประจำและธุรกิจ Part-Time ต้องหักค่าใช้จ่ายแยกกันก่อน แล้วค่อยนำมารวมกัน เพื่อหักค่าลดหย่อน จนกลายเป็นเงินได้สุทธิอีกที
เริ่มกันที่เงินได้ก้อนแรกจากงานประจำ อันนี้ไม่ซับซ้อนเท่าไร เพราะเรามีรายได้เท่าไร ก็สามารถหักค่าใช้จ่าย 100,000 บาทออกไปได้เลย
หรือถ้าเราทำงานประจำ ไปพร้อมกับการมีเงินได้ประเภท 40(2) เช่น นายหน้าแปะลิงก์ Affiliate ก็สามารถเอารายได้มารวมกัน แล้วหักค่าใช้จ่าย 100,000 บาทได้เลยทันที
ในทางกลับกัน ถ้าใครมีเงินได้ประเภท 40(6) หรือ 40(8) จะไม่สามารถหักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท เหมือนกับคนที่มีเงินได้ประเภท 40(2)
เพราะสรรพากรจะกำหนดให้คนที่มีเงินได้ประเภท 40(6) หรือ 40(8) สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบด้วยกัน
- แบบแรก คือ หักค่าใช้จ่ายตามจริง ที่ต้องเก็บใบเสร็จค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้ยืนยันกับทางสรรพากร ในการหักค่าใช้จ่าย
- แบบสอง คือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา
โดยเงินได้ 40(6) นั้น มีเพียงแค่วิชาชีพการประกอบโรคศิลปะ ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือบุคลากรทางการแพทย์ และล่าสุดก็คือ วิชาชีพประณีตศิลปกรรม ที่หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60%
ในขณะที่อาชีพอื่น ๆ เช่น ทนาย วิศวกร สถาปนิก นักบัญชี จะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 30%
ส่วนรายได้ 40(8) เกือบทุกธุรกิจจะสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% เลย
แต่สำหรับการทำงานอย่าง ดารานักแสดง, นักกีฬา หรือนายแบบนางแบบ จะสามารถหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้สูงสุด 600,000 บาท
โดยแบ่งเป็นการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ในส่วน 300,000 บาทแรก และหักค่าใช้จ่าย 30% ในส่วน 300,000 บาทหลัง
ซึ่งถ้าถามว่าเลือกแบบไหนดี ก็ให้ดูว่าการหักค่าใช้จ่ายแบบไหนที่มากกว่า เพื่อให้เงินได้สุทธิที่นำไปหักด้วยค่าลดหย่อนลดลง จนเราเสียภาษีได้ถูกลงตามไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ถ้านายเอก รับราชการตำรวจ เงินเดือน 15,000 บาท พร้อมกับขายของออนไลน์ปีละ 960,000 บาท นายเอกจะเสียภาษีเท่าไร
คำตอบของนายเอก ก็ต้องเอาสมการเงินได้สุทธิของคนทำธุรกิจ Part-Time มาแบบนี้
เงินได้สุทธิ = (รายได้จากงานประจำ - ค่าใช้จ่าย) + (รายได้จากธุรกิจ Part-Time - ค่าใช้จ่าย) - ค่าลดหย่อน
เริ่มกันที่ก้อนแรก ใน 1 ปีนายเอกมีรายได้จากงานประจำ 180,000 บาท หักค่าใช้จ่าย 100,000 บาท ก้อนแรกก็จะเท่ากับ 80,000 บาท
มากันที่ก้อนสอง รายได้จากธุรกิจ Part-Time ของนายเอกอยู่ที่ 960,000 บาทต่อปี ถ้านายเอกเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ก้อนนี้ก็จะเท่ากับ 384,000 บาท
เมื่อรวมทั้ง 2 ก้อนเข้าด้วยกัน แล้วหักด้วยค่าลดหย่อนส่วนตัวอีก 60,000 บาท เงินได้สุทธิของนายเอกก็จะเท่ากับ 464,000 - 60,000 = 404,000 บาท
อัตราภาษีที่นายเอกต้องเสียจึงอยู่ที่ 10% เพราะมีรายได้สุทธิระหว่าง 300,001 ถึง 500,000 บาท
ถ้านายเอกไม่มีค่าลดหย่อนอะไรเพิ่มเติมเลย นายเอกก็ต้องเสียภาษีทั้งหมด (404,000 - 300,000) x 10% + 7,500 = 17,900 บาท
ดังนั้นถ้าอยากเสียภาษีน้อยลงกว่านี้ นายเอกก็สามารถทำได้ 2 ทางคือ ต้องไปดูว่าค่าใช้จ่ายธุรกิจขายของออนไลน์จริงเท่าไร หรือไม่ก็ต้องหาทางลดหย่อนเพิ่มเติม
สมมติว่า ถ้านายเอกรู้ว่าค่าใช้จ่ายตามจริงของธุรกิจขายของออนไลน์อยู่ที่ 600,000 บาทต่อปี
ถ้าเลือกหักค่าใช้จ่ายตามจริง นายเอกก็จะมีก้อนรายได้สุทธิของธุรกิจ Part-Time แค่ 360,000 บาท ซึ่งน้อยกว่าการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาที่อยู่ที่ 384,000 บาท
พอมารวมกับรายได้ประจำแล้ว นายเอกจะมีรายได้สุทธิก่อนลดหย่อน 80,000 + 360,000 = 440,000 บาท
ซึ่งพอหักค่าลดหย่อนส่วนตัวอีก 60,000 บาทแล้ว
นายเอกก็จะมีเงินได้สุทธิทั้งหมด 440,000 - 60,000 =
380,000 บาท
อัตราภาษีที่นายเอกต้องเสียจึงอยู่ที่ 10% เพราะมีรายได้สุทธิระหว่าง 300,001 ถึง 500,000 บาท
ถ้านายเอกไม่มีค่าลดหย่อนอะไรเพิ่มเติมเลย นายเอก
ก็ต้องเสียภาษีทั้งหมดแค่ (380,000 - 300,000) x 10% + 7,500 = 15,500 บาท
เมื่อเทียบกับภาษีเดิมโดยเลือกหักแบบเหมาจ่ายที่ 17,900 บาท แปลว่านายเอกประหยัดภาษีไปได้ถึง 17,900 - 15,500 = 2,400 บาท
ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้านายเอกรับราชการไปด้วย ก็ยังมีค่าลดหย่อนอื่น ๆ เช่น เงินสมทบกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ที่สามารถทำให้นายเอกจ่ายภาษีลดลงกว่านี้ไปอีก
รวมไปถึงการซื้อประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, กองทุน RMF และกองทุน Thai ESG
หรือถ้านายเอกแต่งงานมีคู่สมรส มีลูก พ่อแม่เกษียณอายุ ก็สามารถนำไปลดหย่อนเพิ่มเติมได้อีกทางหนึ่งด้วย
สรุปแล้ว ถ้าถามว่าคนทำธุรกิจ Part-Time แล้วทำงานประจำไปด้วยต้องเสียภาษีเท่าไร ให้จำแค่ 2 สมการนี้ให้ขึ้นใจไปตลอดเวลา
เงินได้สุทธิ = (รายได้จากงานประจำ - ค่าใช้จ่าย) + (รายได้จากธุรกิจ Part-Time - ค่าใช้จ่าย) - ค่าลดหย่อน
ซึ่งเมื่อรู้เงินได้สุทธิแล้ว เราก็จะรู้ต่อว่าตกอยู่ในช่วงรายได้ที่ต้องเสียภาษีเท่าไร จากนั้นก็ใช้สมการ
ภาษีเงินได้ = อัตราภาษี x เงินได้สุทธิ
เพื่อดูว่าสุดท้ายต้องจ่ายภาษีในปีนั้น ๆ เท่าไรนั่นเอง..
#TaxFest2025
#ภาษีนี้มีแต่ได้x2
References