“ฮ่องกง” จากอดีตศูนย์กลางการค้าฝิ่น สู่ศูนย์กลางทางการเงินของโลก

“ฮ่องกง” จากอดีตศูนย์กลางการค้าฝิ่น สู่ศูนย์กลางทางการเงินของโลก

10 ก.ย. 2025
เมื่อพูดถึงศูนย์กลางทางการเงินของโลกแล้ว เชื่อว่า ฮ่องกง น่าจะเป็นหนึ่งในชื่อแรก ๆ ที่หลายคนนึกถึงกัน
แต่รู้ไหมว่า ก่อนที่ฮ่องกงจะกลายมาเป็นศูนย์กลางทางการเงินแบบทุกวันนี้ เมื่อ 200 ปีที่แล้ว ฮ่องกงเคยเป็นศูนย์กลางการค้าฝิ่นมาก่อน
แล้วเรื่องนี้มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมฮ่องกงถึงเคยเป็นศูนย์กลางการค้าฝิ่นได้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ตอนนั้นจีนยังอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ชิงอยู่
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ชาติมหาอำนาจตะวันตก นำโดยอังกฤษ ที่ตอนนั้นอังกฤษได้พื้นที่อินเดียบางส่วนเป็นอาณานิคมของตัวเองเรียบร้อยแล้ว
ก็ได้ล่องเรือเข้ามาค้าขาย เผยแพร่ศาสนา และล่าอาณานิคมในดินแดนแถบเอเชียตะวันออก ทั้งพม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ ไปจนถึงจีนในที่สุด
ในยุคนั้นจีนยังใช้ระบบการค้ากับต่างชาติที่เรียกว่า Canton System นั่นคือ การอนุญาตให้พ่อค้าต่างชาติ นำเรือมาจอดเทียบท่าทำการค้าได้แค่เฉพาะในเมืองกว่างโจว ในมณฑลกวางตุ้งเท่านั้น
เมื่อพ่อค้าชาวอังกฤษของบริษัท British East India Company ล่องเรือมาถึงเมืองกว่างโจว พ่อค้าชาวอังกฤษก็นำแร่เงินของอังกฤษ และผ้าฝ้ายของอินเดีย เข้ามาขายให้จีน
ขณะเดียวกันก็ซื้อใบชาจากจีน เข้าไปขายให้คนอังกฤษสกัดใบชาไปทำเครื่องดื่ม
ปัญหาก็คือ ชาวจีนในยุคนั้นไม่ได้ต้องการซื้อสินค้าจากอังกฤษเท่าไรนัก ขณะที่ชาวอังกฤษกลับนิยมดื่มชาเป็นอย่างมาก
เรื่องนี้ก็ทำให้อังกฤษเสียดุลการค้ากับจีนเป็นอย่างมาก จึงทำให้อังกฤษต้องหาสินค้าอื่นมาขายให้จีน ซึ่งสินค้านั้นก็ควรจะต้องเป็นสิ่งที่คนจีนจะซื้อเรื่อย ๆ และซื้อในปริมาณมาก จนช่วยลดการขาดดุลการค้าของอังกฤษได้
และสินค้าที่อังกฤษนึกถึงก็คือ “ฝิ่น” ที่ปลูกในอินเดีย..
ไม่นานอังกฤษก็เริ่มแผนการนำฝิ่นเข้ามาขายในจีน แต่คราวนี้บริษัทอังกฤษที่มีบทบาทสำคัญในการค้าฝิ่นกลับไม่ใช่ British East India เหมือนตอนแรกแล้ว
แต่เป็นบริษัทที่ชื่อว่า Jardine & Matheson Co. ซึ่งก่อตั้งโดยอดีตหมอประจำเรือของบริษัท British East India ที่ชื่อว่า William Jardine
ในขณะที่ William ก่อตั้งธุรกิจ รัฐบาลอังกฤษได้อนุญาตให้บริษัทอื่น ๆ สามารถเข้าไปทำการค้าขายกับจีนแข่งกับบริษัท British East India ได้แล้ว
Jardine & Matheson Co. ซึ่งเป็นผู้ผลิตฝิ่นรายใหญ่ในอินเดียอยู่แล้ว จึงสามารถสร้างกองเรือขนส่งฝิ่นไปขายให้จีนได้ 
โดยมีท่าเรือหลักของบริษัทตั้งอยู่บนเกาะฮ่องกง ซึ่งในขณะนั้นยังเป็นหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่แม้แต่จีนก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไร
เมื่อชาวจีนเสพติดฝิ่นกันอย่างหนัก ราชสำนักจีนในยุคนั้นเริ่มเห็นแล้วว่า หากปล่อยให้ชาวจีนเสพติดฝิ่นกันต่อไปเรื่อย ๆ สักวันหนึ่งอาณาจักรจีนอันยิ่งใหญ่คงต้องล่มสลายลงไปแน่นอน
รัฐบาลจีนจึงออกกฎหมายห้ามมีการเสพฝิ่นในปี 1813 หากมีใครฝ่าฝืนจะโดนลงโทษโดยการถูกโบย 100 ที
อย่างไรก็ตามก็ยังมีการลักลอบนำฝิ่นเข้ามาขายในจีนอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัท Jardine & Matheson Co. จะจอดเรือห่างออกจากชายฝั่งจีนแผ่นดินใหญ่ไปสักเล็กน้อย
แล้วให้พ่อค้าขายของเถื่อนชาวจีน รวมถึงชาวต่างชาติอื่น พายเรือลำเล็ก ๆ ทยอยแอบขนฝิ่นเข้าไปขายในจีนแผ่นดินใหญ่
เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับรัฐบาลจีนเป็นอย่างมาก จนจีนต้องส่งกำลังทหารเข้าไปยึดสินค้าจากเรือสินค้าของ Jardine & Matheson Co. แล้วโยนฝิ่นทิ้งลงทะเลไป
เจอแบบนี้เข้าไป แน่นอนว่าทางบริษัทก็ไม่ยอมเหมือนกัน จึงมีการรายงานเรื่องนี้ไปยังรัฐบาลอังกฤษ ทำให้รัฐบาลอังกฤษไม่พอใจอย่างมาก 
เพราะอังกฤษอ้างว่าเรือของ Jardine & Matheson Co. ลอยอยู่ในน่านน้ำสากล จีนจึงไม่มีสิทธิมาทำลายสินค้าของอังกฤษ
เช่นนี้แล้วอังกฤษจึงอ้างความชอบธรรมในการส่งเรือรบเข้าไปทำสงครามกับจีน กลายเป็นสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ที่กินระยะเวลาตั้งแต่ปี 1839-1842 
เมื่ออังกฤษชนะสงครามฝิ่นครั้งแรก ก็บีบให้จีนต้องทำสัญญายกฮ่องกงให้เป็นเมืองท่าภายใต้การปกครองของอังกฤษ
และต้องเปิดท่าเรือทำการค้ากับต่างชาติอย่างเสรีเพิ่มเติมจากเมืองกว่างโจว เช่น ท่าเรือเซี่ยงไฮ้ ท่าเรือเซี่ยเหมิน ท่าเรือฝูโจว และท่าเรือหนิงโป
ถึงแม้ว่าจีนจะทำสงครามฝิ่นกับอังกฤษอีกครั้งเป็นรอบที่ 2 ในปี 1856-1860 แต่ก็เป็นอีกครั้งที่จีนต้องพ่ายแพ้ให้กับอังกฤษ
ความพ่ายแพ้ในรอบที่ 2 นี้เอง ที่ทำให้จีนต้องยอมเปิดให้มีการซื้อขายฝิ่นได้อย่างถูกกฎหมายอีกครั้ง
ซึ่งบริษัทค้าฝิ่นอย่าง Jardine & Matheson Co. ของอังกฤษก็ใช้โอกาสนี้ขยายอาณาจักรธุรกิจของตัวเองในฮ่องกง และใช้ฮ่องกงเป็นฐานในการส่งออกฝิ่นไปขายที่จีน
และเมื่อมีเงินมากมายจากการค้า สิ่งที่จะต้องตามมาก็คือเรื่องของการบริหารจัดการเงิน ทำให้ในช่วงเวลานี้พ่อค้าชาวอังกฤษก็ได้วางรากฐานระบบธนาคารและการเงินให้กับฮ่องกง 
จากการร่วมกันก่อตั้งธนาคาร Hong Kong and Shanghai Banking Corporation หรือธนาคาร HSBC ขึ้นมาในปี 1865 เพื่อจัดหาเงินลงทุนให้แก่พ่อค้าชาวอังกฤษ ซึ่งโดยส่วนมากก็คือธุรกิจค้าฝิ่น
นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งตลาดหุ้นฮ่องกงขึ้นในปี 1891 อีกด้วย เพื่อเป็นอีกช่องทางในการระดมทุนของพ่อค้าชาวต่างชาติที่ต้องการเข้าไปทำธุรกิจในจีน
ฝิ่นกลายเป็นยาเสพติดที่แพร่ระบาดในจีนอีกครั้ง ครั้งนี้ลากยาวมาถึงปี 1937 ซึ่งเป็นช่วงที่กองทัพญี่ปุ่นบุกจีนก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะปะทุขึ้นไม่นาน
สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น ทำให้การค้าฝิ่นของบริษัท Jardine & Matheson Co. เริ่มติดขัด 
บริษัทจึงต้องกระจายความเสี่ยงออกไปหลายธุรกิจ เช่น ธุรกิจประกัน ธุรกิจขนส่งทางเรือ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก 
เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ฮ่องกงเริ่มเปลี่ยนสถานะจากการเป็นศูนย์กลางการค้าฝิ่น และหาทางออกใหม่ด้วยการเป็นศูนย์กลางการผลิตสิ่งทอแทน 
โดยอาศัยโครงสร้างพื้นฐานอย่างท่าเรือ เป็นกุญแจสำคัญในการส่งสินค้าออกไปขายทั่วโลก
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจของฮ่องกงต้องหยุดชะงักไปเมื่อญี่ปุ่นเข้ามายึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง จีนก็ถูกปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ ฐานการผลิตในจีนบางส่วนจึงถูกย้ายมาที่ฮ่องกง ที่มีท่าเรือ และสถาบันการเงิน รองรับการย้ายฐานการผลิต
เมื่อมีการลงทุนย้ายฐานการผลิต ก็ทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนภาคการเงินได้รับประโยชน์ไปด้วย
และจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่ทำให้ฮ่องกง เป็นศูนย์กลางทางการเงินก็มาถึง เมื่อจีนเปลี่ยนผู้นำจากเหมา เจ๋อตง มาสู่เติ้ง เสี่ยวผิง ทำให้จีนเริ่มเปิดประเทศ รับการลงทุนจากต่างชาติ อนุญาตให้ทำธุรกิจได้
ฐานการผลิตในฮ่องกง ก็เริ่มย้ายกลับไปผลิตที่จีน ที่มีต้นทุนแรงงานถูกกว่า คงเหลือไว้แต่ภาคบริการที่ต้องอาศัยทักษะสูง เช่น ภาคการบริการทางการเงิน
พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้ฮ่องกง กลายเป็นประตูให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในบริษัทจีน เพราะบริษัทจีนมักจะนิยมมาขอระดมทุนในฮ่องกง ทั้งผ่านธนาคาร และผ่านตลาดหุ้น
เพราะในตอนนั้นจีนยังไม่ได้พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินให้รองรับกับการระดมทุนที่กำลังหลั่งไหลเข้าไปในจีนอย่างมหาศาล
ปัจจุบันตลาดหุ้นฮ่องกง มีมูลค่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นรวมกันถึง 184 ล้านล้านบาท นับว่าเป็นตลาดหุ้นที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลกเลยทีเดียว
ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมากว่า 200 ปีของฮ่องกง ได้เปลี่ยนหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ให้กลายมาเป็นศูนย์กลางการค้าฝิ่น ศูนย์กลางการผลิตสิ่งทอ และศูนย์กลางทางการเงินของโลกในที่สุด
ทุก ๆ ครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในฮ่องกง มักจะเกิดขึ้นจากปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบทางลบมาสู่ฮ่องกงเสมอ
แต่ไม่ว่าฮ่องกงจะเจออะไร ทุก ๆ ครั้งที่เจอความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฮ่องกงก็พร้อมปรับตัวใช้จุดแข็งของตัวเอง พัฒนาต่อยอดไปสู่หนทางใหม่ ๆ ได้เสมอ
จึงเป็นเรื่องที่น่าติดตามมากว่า ในอนาคตของเกาะแห่งนี้จะเจอกับความเปลี่ยนแปลงอะไรอีกบ้าง แล้วจะสามารถใช้จุดแข็งของตัวเอง เพื่อเอาตัวรอดไปเป็นศูนย์กลางอะไรอีกในอนาคต..
#เศรษฐกิจ
#ประวัติศาสตร์
#ฮ่องกง
References
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.