สรุป 5 ทางรอด ของคนมีประกัน แล้วจ่ายไม่ไหว แต่ไม่อยากเวนคืน ให้ขาดทุน

สรุป 5 ทางรอด ของคนมีประกัน แล้วจ่ายไม่ไหว แต่ไม่อยากเวนคืน ให้ขาดทุน

8 ส.ค. 2025
การพยายามปิดความเสี่ยงมากเกินไป ในบางครั้งก็กลายเป็นความเสี่ยงให้กับเราเสียเอง 
เช่น บางคนมีประกันหลายเล่ม แต่ไม่รู้เลยว่า แต่ละเล่มคุ้มครองอะไร 
บางเล่มพ่อแม่ซื้อให้ตั้งแต่ยังเด็ก
บางเล่มซื้อไว้ตั้งแต่รายได้ดี เพื่อลดหย่อนภาษี
บางเล่มทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
เมื่อเวลาผ่านไป วิถีชีวิตเปลี่ยน รายได้เปลี่ยน รู้ตัวอีกทีก็เริ่มจ่ายเบี้ยไม่ไหวแล้ว จนค่าเบี้ยประกันเข้ามากัดกินสภาพคล่องและเงินเก็บ
เมื่อเป็นแบบนี้ ทางเลือกแรกที่หลายคนคิดก็คือ “หยุดจ่าย” หรือ “เวนคืน”
แต่รู้หรือไม่ว่า ถ้าเราจ่ายเบี้ยไม่ไหว ยังมีอีกหลายทางเลือกที่เราสามารถทำได้ โดยที่ยังได้รับความคุ้มครองต่อไปได้ด้วย 
และหากอยากรู้ว่ามีอะไรบ้าง ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ 
ก่อนจะไปดู “ทางรอด” สำหรับคนที่จ่ายเบี้ยไม่ไหว อยากชวนกลับมาลองคิดก่อนว่า ประกันที่เรามีอยู่ ตรงกับความคุ้มครองที่เราอยากได้หรือไม่ ? 
เพราะประกันแต่ละแบบมีความคุ้มครองที่แตกต่างกันไป ถ้าเราเข้าใจว่า เราทำประกันเล่มนี้เพื่ออะไร ? ก็จะได้รู้ว่าเมื่อถึงเวลาต้องเลือก ควรจะเก็บเล่มไหนไว้
ซึ่งสรุปได้แบบเร็ว ๆ เลยก็คือ
- ถ้าทำเพื่อลดหย่อนภาษี จะเหมาะกับประกันสะสมทรัพย์ เพราะคุ้มครองสั้น สามารถหมุนเงินก้อนเดิมมาซื้อใหม่ได้
- ถ้าอยากส่งต่อมรดก ประกันตลอดชีพจะเหมาะกว่า แบบออมทรัพย์ เพราะจ่ายเบี้ยน้อย แต่ความคุ้มครองสูงกว่า
- ถ้าอยากได้ความคุ้มครองสูงแต่จ่ายเบี้ยน้อย ประกันชั่วระยะเวลาเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่จะเป็นการจ่ายเบี้ยทิ้ง
- ถ้าอยากทำประกันสุขภาพ ไม่ควรพ่วงกับประกันออมทรัพย์ ควรเลือกทำพ่วงกับแบบที่คุ้มครองระยะยาว
- ประกันยูนิตลิงก์ ไม่เหมาะกับการลดหย่อนภาษี เพราะลดหย่อนได้เฉพาะส่วนค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมเท่านั้น
เมื่อเข้าใจแล้วว่า “ประกันแบบไหนตอบโจทย์เรา” 
ก็ถึงเวลาย้อนกลับมาที่คำถามสำคัญ
ถ้า “จ่ายเบี้ยไม่ไหว” เราจะทำอะไรได้บ้าง ?
อย่างแรกเลยที่เราต้องทำคือ การประเมินตัวเอง
ว่าเราจ่ายไม่ไหวช่วงสั้น ๆ หรือไม่อยากจ่ายต่อแล้ว
เพราะทางออกของทั้งสองแบบนั้น ต่างกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับคนที่ยังอยากรักษากรมธรรม์ไว้ แต่ติดขัดระยะสั้น เช่น เป็นช่วงที่ขายของได้น้อย หรือต้องเอาเงินไปใช้เรื่องเร่งด่วนก่อน ทางรอด มีอยู่ 3 วิธี
ทางรอดที่ 1 ใช้เวลาผ่อนผัน 31 วัน
เมื่อครบกำหนดจ่ายเบี้ยประกัน แต่เรายังไม่มีเงินจ่าย 
อย่าเพิ่งตกใจ เพราะยังมีระยะเวลาผ่อนผันอีก 31 วัน
ในช่วงนี้ แม้ว่าเราจะยังไม่จ่ายเบี้ย ประกันก็ยังคงให้ความคุ้มครองตามปกติ 
หมายความว่า ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในช่วงนี้ บริษัทจะยังจ่ายเงินตามกรมธรรม์ โดยจะหักค่าเบี้ย ที่เราค้างจ่าย แล้วจ่ายส่วนที่เหลือให้เรา
แต่สิ่งสำคัญคือ อย่าปล่อยให้ผ่าน 31 วันโดยไม่ทำอะไร
เพราะถ้าเลยช่วงนี้ไป กรมธรรม์อาจขาดอายุ และความคุ้มครองอาจสิ้นสุดทันที
ทางรอดที่ 2 เปลี่ยนงวดการจ่ายเบี้ย
ถ้าเก็บเงินก้อนมาจ่ายเบี้ยรายปีไม่ทัน เราสามารถเปลี่ยนมาผ่อนจ่ายเป็นงวด ๆ ได้ เช่น รายเดือน ราย 3 เดือน หรือราย 6 เดือน ขึ้นอยู่กับแบบประกัน
คล้ายกับการผ่อนของชิ้นใหญ่ ที่ช่วยให้เราบริหารจัดการเงินง่ายขึ้น แม้รวมแล้วการผ่อนจ่ายรายงวดจะแพงกว่าการจ่ายรายปี แต่ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้ประกันยังคงความคุ้มครองต่อได้
ทางรอดที่ 3 ขอกู้เงินในกรมธรรม์
หากเราทำประกันแบบตลอดชีพ แบบบำนาญ หรือแบบสะสมทรัพย์ และจ่ายเบี้ยต่อเนื่องประมาณ 2 ปีขึ้นไป กรมธรรม์จะเริ่มมีมูลค่าเงินสด หรือมูลค่าเวนคืนสะสมอยู่
เงินส่วนนี้เราสามารถขอกู้มาใช้ได้ และเสียดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ โดยที่เรายังจะได้ความคุ้มครองจากกรมธรรม์ต่อไปเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้จ่ายคืนตามเงื่อนไข ก็อาจส่งผลกระทบต่อความคุ้มครอง ทำให้กรมธรรม์สิ้นสุดได้
และสำหรับคนที่รู้ตัวว่า ไม่ได้ขาดสภาพคล่องแค่ชั่วคราว และไม่อยากจ่ายเบี้ยต่ออีกแล้ว จริง ๆ ยังมีทางเลือกที่ช่วยให้เราหยุดจ่ายเบี้ยได้ โดยที่ยังได้รับความคุ้มครองอยู่ นั่นคือ 
ทางรอดที่ 4 การใช้เงินสำเร็จ
คือการหยุดจ่ายเบี้ย โดยที่เราจะได้รับความคุ้มครอง ที่เป็นจำนวนปีเท่าเดิม แต่วงเงินความคุ้มครองจะลดลงจากเดิม
เช่น ตอนแรกทำประกันทุน 1 ล้านบาท คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี เมื่อขอใช้เงินสำเร็จ เราจะยังได้รับความคุ้มครอง จนถึงอายุ 99 ปีเหมือนเดิม แต่ทุนประกันอาจลดลง เหลือหลักแสนบาท หรือน้อยกว่านั้น
ทางรอดที่ 5 การขยายระยะเวลา
เป็นอีกทางเลือกของการหยุดจ่ายเบี้ย โดยที่ยังจะได้ทุนประกันที่เป็นจำนวนเงินเท่าเดิม แต่ระยะเวลาความคุ้มครองจะสั้นลง
เช่น ตอนแรกทำประกันทุน 1 ล้านบาท คุ้มครองถึงอายุ 99 ปี เมื่อขอขยายระยะเวลา จะยังได้ทุนประกัน 1 ล้านบาทเหมือนเดิม แต่ความคุ้มครองอาจจะถึงแค่อายุ 60 ปีหรือน้อยกว่านั้น
ทั้งการใช้เงินสำเร็จและการขยายระยะเวลา เราสามารถตรวจสอบตัวเลขที่ชัดเจนได้จากตารางมูลค่ากรมธรรม์ของเรา
ซึ่งทั้ง 5 ทางรอดนี้ เป็นตัวเลือกที่เราสามารถเลือกใช้ได้ โดยที่ยังได้รับความคุ้มครองต่อ อย่างไรก็ตาม นอกจาก 5 ทางรอด ยังมีอีกทางหนึ่งที่หลายคนเลือกในยามเงินตึงมือ คือ การเวนคืน 
แต่สิ่งที่เราควรต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจนคือ การเวนคืนแตกต่างจาก 5 ทางรอดอย่างสิ้นเชิง
เพราะการเวนคืนกรมธรรม์ คือ การปิด หรือยกเลิกกรมธรรม์ ทำให้สัญญาประกันสิ้นสุด และไม่มีความคุ้มครองอีกต่อไป
และถึงแม้ว่า บางครั้งการเวนคืนจะทำให้เราได้รับเงินคืนก้อนหนึ่ง แต่เงินจำนวนนั้นอาจจะมากกว่า หรือน้อยกว่าเบี้ยที่จ่ายไปก็ได้
นอกจากนี้ หากเราเคยใช้ประกันฉบับนั้นลดหย่อนภาษีไว้ การเวนคืนก่อนครบ 10 ปี อาจทำให้เราต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เคยได้รับ
ซึ่งเมื่อรวมกันแล้ว อาจเสี่ยงที่จะ “ขาดทุนสองต่อ” ทั้งจากจำนวนเงินเวนคืนที่น้อยกว่าเบี้ยที่เคยจ่าย และจากการที่ต้องคืนภาษีย้อนหลังให้กรมสรรพากร
ดังนั้น การเวนคืนจึงควรเป็นทางเลือกสุดท้าย ในกรณีที่เราตัดสินใจแล้วว่า ไม่อยากเก็บกรมธรรม์ไว้เลย
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเราจะเลือกทางเลือกแบบไหน สิ่งสำคัญที่สุดคือ ควรเข้าใจเงื่อนไขให้ชัดเจน และรอบด้าน ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง
และเลือกทำประกันให้เหมาะสมกับวิถีชีวิต ความต้องการคุ้มครอง และความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันของเราตั้งแต่แรก..
#วางแผนการเงิน
#ประกัน
#สรุปประกัน
References
© 2025 MONEY LAB. All rights reserved. Privacy Policy.