INETREIT x MONEY LAB

อยากมี Passive Income อยากให้เงินทำงาน แต่พอมองไปรอบ ๆ ตัว
เงินฝากออมทรัพย์ให้ดอกเบี้ยเพียง 0.25% ต่อปี
กองทุนรวมตลาดเงินให้ผลตอบแทนเฉลี่ยแค่ประมาณ 2% ต่อปี

ขยับไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์โดยตรงอาจให้ผลตอบแทน 4-7% ต่อปี แต่ก็ต้องหาทำเลดี ๆ แถมยังต้องดูแลผู้เช่า มีค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายจิปาถะสารพัด

ส่วนตลาดหุ้น แม้มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง แต่ความผันผวนก็สูงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งเรื่องอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ รวมถึงสงครามการค้า

แล้วเราควรลงทุนอะไรดี ?
ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก มีรายได้ประจำทุกเดือนเหมือนปล่อยเช่า แต่ไม่ต้องดูแลเอง

ถึงตรงนี้หลายคนอาจนึกถึงการลงทุนใน REIT หรือกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์

แต่รู้หรือไม่ว่า ? มีหนึ่งกองทรัสต์ที่น่าจับตาเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้แค่ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วไป แต่ลงทุนใน “โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต” ที่เติบโตไปพร้อมกับเทคโนโลยี AI, Cloud และ Data Center

นั่นคือ INETREIT ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไอเน็ต

แล้ว INETREIT แตกต่างจาก REIT กองอื่น ๆ อย่างไร ?
ทำไมถึงเหมาะกับคนที่กำลังมองหา Passive Income สม่ำเสมอ

MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ

3 จุดเด่น ที่ทำให้ INETREIT น่าสนใจ เหมาะสำหรับคนที่กำลังมองหา Passive Income คือ

1. ถือครองทรัพย์สินที่เติบโตตามเทคโนโลยี

ทุกวันนี้ เวลาเราเปิด YouTube ดูหนังบน Netflix เล่น TikTok หรือไถฟีด Facebook เบื้องหลังทั้งหมดนี้ มีข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ต้องถูกจัดเก็บและประมวลผลอยู่ตลอดเวลา

และสถานที่ที่รองรับข้อมูลเหล่านั้น ก็คือ Data Center
โครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคของ AI และ Cloud

จุดนี้เองกลายเป็นจุดแข็งของ INETREIT เพราะเป็นกองทรัสต์แรกและกองเดียวในประเทศไทยที่เข้าลงทุนโดยตรงใน Data Center ทั้งหมด (Pure Data Center)

โดย INETREIT ลงทุนใน INET-IDC3 ศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลขนาดใหญ่ของบริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน) มีทรัพย์สินหลักที่ถือครองในปัจจุบัน ได้แก่ Phase 1 และบางส่วนของ Phase 2

ซึ่งศูนย์แห่งนี้ให้บริการแบบครบวงจร ทั้ง Co-Location, Cloud Services และ Business Continuity Planning (BCP) รองรับความต้องการขององค์กรที่ต้องการระบบ IT ที่เสถียร ปลอดภัย และทำงานต่อเนื่องแม้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

และหากลองดูผลประกอบการของ INETREIT ในปีที่ผ่านมา
ปี 2567 รายได้ 618 ล้านบาท กำไร 772 ล้านบาท

สาเหตุที่ทำให้กำไรมากกว่ารายได้ นั่นก็เพราะโครงสร้างของทรัสต์อย่าง INETREIT มีต้นทุนการดำเนินงานต่ำ ไม่มีต้นทุนการผลิต หรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสต๊อกสินค้าเหมือนธุรกิจทั่วไป ส่งผลให้กำไรโดยรวมสูงกว่ารายได้ ซึ่งเป็นลักษณะปกติของ REIT และธุรกิจประเภทโฮลดิง

นอกจากนี้ INETREIT ยังมีกำไรทางบัญชีจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น บวกเพิ่มเข้ามาจากรายได้หลักที่ได้จากการปล่อยเช่าศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล

พูดง่าย ๆ คือ รายได้หลักมาจากค่าเช่าศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล
แต่กำไรมาจากทั้งรายได้ค่าเช่า และมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากำไรจากการประเมินมูลค่าจะเป็นกำไรทางบัญชี แต่ก็สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า INETREIT ถือครองทรัพย์สินที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ตามความต้องการของเทคโนโลยีจริง ๆ

2. รายได้จากลูกค้ารายเดียวอาจเป็นโอกาส มากกว่าความเสี่ยง

การพึ่งพาผู้เช่าเพียงรายเดียว อาจฟังดูเป็นความเสี่ยงสำหรับการลงทุน แต่ถ้ามองลึกลงไป แม้ INETREIT จะมีผู้เช่าหลักเพียงรายเดียว คือ INET บริษัท อินเทอร์เน็ตประเทศไทย จำกัด (มหาชน)

แต่ความน่าสนใจก็คือ INET เป็นผู้ให้บริการ Cloud และ Digital Platform ชั้นนำของประเทศ ที่ให้บริการลูกค้าองค์กรจำนวนมากกว่า 6,000 ราย ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรม และมี Market Share ตลาด Cloud ในฐานะ Local Cloud ประเทศไทย เป็นอันดับ 1

อ้างอิงจากผลสำรวจ IDC Semiannual Public Cloud Services Tracker 2023, Thailand laas Revenue is sales revenue in 2020-2023

พูดง่าย ๆ คือ แม้ INETREIT จะมีผู้เช่ารายเดียว แต่ผู้ใช้บริการปลายทางจริง ๆ ของ INET คือธุรกิจอีกนับพันรายในหลายอุตสาหกรรมของเศรษฐกิจไทยที่กำลังเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านสู่โลก Cloud และ AI

และหากลองดูผลประกอบการของ INET ในช่วงที่ผ่านมา
จะพบว่า บริษัทมีรายได้และกำไรเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปี 2565 รายได้ 2,067 ล้านบาท กำไร 201 ล้านบาท
ปี 2566 รายได้ 2,100 ล้านบาท กำไร 235 ล้านบาท
ปี 2567 รายได้ 2,540 ล้านบาท กำไร 385 ล้านบาท

ซึ่งก็เท่ากับว่า หาก INET เติบโต INETREIT เองก็จะได้รับประโยชน์จากการถือทรัพย์สินที่โตตามไปด้วย และนั่นเองที่อาจเปลี่ยนความเสี่ยงจากลูกค้ารายเดียว ให้กลายเป็นโอกาสเติบโตไปพร้อมกับผู้นำตลาดเทคโนโลยีของไทย

3. กองทรัสต์แรกและกองเดียวของไทยที่จ่ายปันผลแบบรายเดือน เฉลี่ยสูงสุดถึง 8% ต่อปี

สิ่งที่ทำให้ INETREIT แตกต่างจาก REIT กองอื่น ๆ อย่างชัดเจนคือ เป็นกองทรัสต์แรกและกองเดียวในประเทศไทยที่มีการจ่ายปันผลแบบรายเดือน

โดยเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2568 เป็นการจ่ายปันผลของผลการดำเนินงานเดือนมกราคม สำหรับเดือนพฤษภาคม ก็จะจ่ายปันผลของงวดผลการดำเนินงานเดือนกุมภาพันธ์ และจะจ่ายต่อเนื่องแบบนี้ทุกเดือนไปเรื่อย ๆ

ข้อดีของการจ่ายปันผลเป็นรายเดือน คือ ช่วยให้เราบริหารกระแสเงินสดได้ง่ายขึ้น คล้ายกับการมีรายได้ประจำเข้าบัญชีทุกเดือน จะนำไปใช้จ่ายหรือลงทุนต่อก็สามารถวางแผนได้ชัดเจน ไม่ต้องรอนานเป็นไตรมาสหรือครึ่งปี เหมือนกับการลงทุนในกองทรัสต์อื่น ๆ

และหากมองในเชิง มูลค่าเงินตามเวลา (Time Value of Money) การได้เงินเร็วกว่า ย่อมดีกว่าได้เงินช้า แม้จะให้ผลตอบแทนรวมเท่ากันก็ตาม เพราะในโลกของการเงิน มูลค่าเงิน 100 บาทที่ได้วันนี้ ย่อมมีค่ามากกว่า 100 บาทที่ได้ในอนาคต

สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น INETREIT มีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดถึง 8% ต่อปี จากกระแสรายได้ที่มั่นคงจากผู้เช่าระยะยาวในศูนย์ปฏิบัติการข้อมูล โดยมีระดับความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น แต่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าการฝากเงิน พร้อมจ่ายปันผลเป็นรายเดือน โดยไม่ต้องบริหารจัดการทรัพย์สินด้วยตนเอง

และในช่วงที่ตลาดหุ้นยังเต็มไปด้วยความผันผวน หากใครกำลังมองหา Passive Income จากสินทรัพย์ที่เติบโตไปกับ Mega Trend ของโลก INETREIT ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ

สำหรับใครที่สนใจ INETREIT สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.inetreit.com/en/home

คำเตือน : การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน

References
-ข่าวประชาสัมพันธ์ INETREIT
-https://www.bot.or.th/th/statistics/interest-rate.html
-https://www.thaiappraisal.org/thai/standard/standard10.php
-https://www.inet.co.th/en
-https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/INET/
-https://www.set.or.th/th/market/product/stock/quote/INETREIT/