SCG x MONEY LAB

เมื่อภาวะโลกเดือดเป็นเรื่องที่หลายประเทศให้ความสำคัญ และหนึ่งในต้นตอของภาวะโลกเดือด มาจากอุตสาหกรรมก่อสร้าง

ซึ่งหนึ่งในวัสดุก่อสร้างหลักอย่าง ปูนซีเมนต์ ที่ใช้ในการสร้างอาคาร ถนน และโครงสร้างพื้นฐานทั่วโลก มีขั้นตอนการผลิตที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมาก

จากข้อมูลการผลิตทั่วโลก แค่อุตสาหกรรมนี้เพียงอุตสาหกรรมเดียว คิดเป็นสัดส่วนถึง 7-8% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลก

และเมื่อวิกฤติโลกร้อนทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน จนถูกยกระดับเป็นภาวะโลกเดือด (Global Boiling)
ปัญหานี้จึงถูกยกเป็นวาระสำคัญของโลก ทำให้ทุกประเทศต้องร่วมมือกันอย่างจริงจัง

ผู้นำเศรษฐกิจโลกอย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา เริ่มออกมาตรการอย่าง CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน รวมถึง Carbon Tax ซึ่งเป็นการเก็บภาษีจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของผู้ผลิต

นั่นหมายความว่า ต้นทุนการผลิตจะไม่ใช่แค่เรื่องวัตถุดิบหรือแรงงานอีกต่อไป
แต่รวมถึง “ต้นทุนคาร์บอน” ที่จะกลายเป็นข้อได้เปรียบ หรือข้อเสียเปรียบในการแข่งขันระดับโลก

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ หลายบริษัทกำลังหาทางปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด
แต่บริษัทที่มองไกลกว่านั้น เลือกลงมือก่อน เปลี่ยนแรงกดดันให้เป็นโอกาส และใช้จังหวะนี้เพื่อวางรากฐานก้าวสู่การเป็นผู้นำในระยะยาว

หนึ่งในบริษัทที่เห็นโอกาสนั้น คือ SCG หรือ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)

ด้วยวิสัยทัศน์ ความมุ่งมั่น และการวางรากฐานอย่างจริงจัง
ทำให้ SCG ได้รับเลือกให้ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงาน INTERCEM Asia 2025

แล้ว SCG เตรียมตัวอย่างไร ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ

ธุรกิจซีเมนต์ คือหนึ่งในธุรกิจหลักที่ SCG ดำเนินการมายาวนานกว่า 112 ปี
ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ที่มีฐานการผลิตระดับภูมิภาคอาเซียน และมีการส่งออกไปยังหลายประเทศทั่วโลก

สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ SCG ไม่ได้หยุดอยู่แค่การผลิตปูนซีเมนต์แบบเดิม
แต่เดินหน้าวางรากฐาน และลงทุนในนวัตกรรมปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำมาอย่างต่อเนื่อง
ทั้งด้านกลยุทธ์ วิจัยและพัฒนา รวมถึงเทคโนโลยีการผลิต เพื่อก้าวไปสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมก่อสร้างยุคใหม่

ทั้งหมดนี้สะท้อนชัดเจนผ่านบทบาทของ SCG ในงาน INTERCEM Asia 2025
เวทีประชุมผู้ผลิตและผู้เกี่ยวข้องในเชนอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ระดับโลก

ซึ่งถือเป็นเวทีประชุมระดับนานาชาติ ที่จัดขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1985 งานนี้จึงไม่ใช่แค่พื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ แต่ยังเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างผู้นำในอุตสาหกรรม ปลายทางการลงทุน และโอกาสทางธุรกิจในตลาดใหม่ ๆ

ซึ่งปีนี้ SCG ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพร่วม พร้อมต้อนรับผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คนจากทั่วโลก
งานครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “การเปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไปสู่ Low Carbon Cement”

SCG ได้แสดงวิสัยทัศน์ในฐานะผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ทั้งในไทยและอาเซียน ผ่านการนำเสนอนวัตกรรมเพื่อการลดคาร์บอน ที่วิจัยและพัฒนาขึ้นอย่างจริงจัง นั่นคือ

1. SCG LC3 Structural Cement

ปูนเอสซีจี LC3 ปูนคาร์บอนต่ำ สูตรต้นแบบ ที่พัฒนาจากองค์ความรู้เฉพาะของ SCG ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 38% เมื่อเทียบกับปูนงานโครงสร้างทั่วไป โดยยังคงคุณสมบัติด้านความแข็งแรงทนทาน และสามารถประยุกต์ใช้ในงานตกแต่งได้อย่างลงตัว

2. SCG 3D Printing

เทคโนโลยีการพิมพ์ขึ้นรูปสามมิติด้วยปูนคาร์บอนต่ำที่ปฏิวัติวงการก่อสร้าง ด้วยความสามารถในการสร้างโครงสร้างที่มีความซับซ้อนสูง ตอบโจทย์งานสถาปัตยกรรมล้ำสมัย เสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรมก่อสร้างของไทยในเวทีโลก

3. TORA S-ONE

นวัตกรรมเครื่องพ่นฉาบปูนระบบดีเซลที่ตราเสือพัฒนาร่วมกับคูโบต้า เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างก้าวกระโดด เพิ่มความเร็วในการฉาบผนังปูนซีเมนต์ได้ถึง 40% ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและแก้ปัญหาการขาดแคลนทักษะฝีมือแรงงาน เป็นการยกระดับมาตรฐานงานก่อสร้างไทย

4. SCG International

ผู้นำด้านโซลูชัน Supply Chain แบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การขนส่ง ไปจนถึงการส่งมอบสินค้าถึงมือลูกค้า โดยคำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตลอดห่วงโซ่อุปทาน

5. Saraburi Sandbox

ต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำที่ SCG จับมือกับพันธมิตร นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมกรีนมาประยุกต์ใช้ในบริบทจริง เป็นแหล่งเรียนรู้และแรงบันดาลใจสำหรับภาคอุตสาหกรรม สังคม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม

นอกจากการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์แล้ว บริษัทยังมุ่งมั่นลงทุนในกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวล เช่น

- การใช้แกลบและฟางข้าว แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในสัดส่วนกว่า 45%
- เพิ่มการใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์สูงถึง 40%
- นำลมร้อนเหลือทิ้งจากกระบวนการผลิตกลับมาใช้ใหม่

สอดคล้องกับเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 อย่างเป็นรูปธรรม

ทั้งหมดนี้ ทำให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ อาจเป็นความจำเป็นที่หลายบริษัทต้องทำเพื่อความอยู่รอด

แต่ SCG กำลังพิสูจน์ให้เห็นว่า นี่คือโอกาสเชิงกลยุทธ์ในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขัน
และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และการก่อสร้างอย่างยั่งยืน

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า สิ่งที่ SCG กำลังทำอยู่อาจมากกว่าความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม
เพราะนี่คือการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจหลัก ที่เป็นหนึ่งในแหล่งรายได้สำคัญ

แม้การเปลี่ยนผ่านสู่ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำจะไม่ได้สร้างผลลัพธ์ทันที
แต่วิสัยทัศน์และการลงมือก่อน คือสัญญาณของบริษัทที่พร้อมปรับตัวในยุคของการเปลี่ยนแปลง

และในมุมมองของการลงทุน สิ่งเหล่านี้คือ “แต้มต่อ”
ที่ช่วยให้นักลงทุนมั่นใจว่า SCG กำลังเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้องนั่นเอง..

References
- https://www.scg.com/
- https://www.intercem.com/