5 สิ่งที่ควรทำ เพื่อไม่ให้เงินเก็บหด เมื่อเงินเดือนขึ้น

11 ม.ค. 2024

5 สิ่งที่ควรทำ เพื่อไม่ให้เงินเก็บหด เมื่อเงินเดือนขึ้น | MONEY LAB
ช่วงปีใหม่มานี้ หลาย ๆ คนก็น่าจะได้ปรับขึ้นเงินเดือน รวมถึงได้โบนัสก้อนใหญ่ หรือแม้แต่ได้เลื่อนตำแหน่ง

อย่างไรก็ตาม แม้เงินเดือนจะเพิ่มขึ้น แต่หลายครั้งเราก็มักจะพบว่า เงินเก็บของเรา ไม่ได้เพิ่มขึ้นตาม หรือแม้แต่ลดลง อย่างน่าประหลาด

ซึ่งเหตุการณ์นี้ ก็เกิดมาจากสิ่งที่เรียกว่า “Lifestyle Inflation” หรือก็คือ ค่าใช้จ่ายโตเร็วกว่าเงินเก็บ จากการใช้เงินซื้อความสะดวกสบาย ให้กับตัวเองมากเกินไป

แล้วเราจะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ กัดกินเงินเก็บ จนกระทบกับแผนการเงินของเราแบบนี้ ?

MONEY LAB จะเล่าเรื่องการเงิน ที่โรงเรียนไม่เคยสอน ให้เข้าใจ

ตั้งเป้าหมายทางการเงิน

เมื่อไม่มีเป้าหมายทางการเงิน เราก็จะขาดแรงจูงใจที่จะเก็บเงินเช่นกัน เราจึงไม่รู้ว่า ตัวเองจะต้องเก็บเงินไปเพื่ออะไร สู้เอาไปใช้ซื้อความสุขในตอนนี้ เสียจะดีกว่า

เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็จะทำให้ทุก ๆ ปี เราจะไม่มีเงินเก็บเหลือ และอาจจะทำให้ เราไม่มีเงินพอสำหรับเกษียณ หรือไม่มีเงินสำรองฉุกเฉิน ไว้ใช้ในยามลำบาก

เพราะฉะนั้น การมีเป้าหมายทางการเงิน ก็จะช่วยให้เรามีเป้าหมาย ว่าจะใช้เงินเดือนที่เพิ่มขึ้นมาไปกับอะไร เพื่อให้บรรลุในสิ่งที่ตั้งใจไว้

ทำบันทึกรายรับ-รายจ่าย

การใช้เงินโดยไม่จดบันทึกรายรับ-รายจ่าย จะทำให้เราไม่รู้ว่า แต่ละเดือนเราใช้เงินไปกับอะไรบ้าง กว่าจะรู้ตัวอีกที ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราซื้อมา ก็รวมกันเป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่เสียแล้ว

การจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเราจะได้แยกได้ว่า ค่าใช้จ่ายใดเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็น และค่าใช้จ่ายใดบ้างที่เราสามารถลดได้

นอกจากนี้ยังช่วยสร้างนิสัยทางการเงิน ในเรื่องของการแยกสิ่งที่จำเป็น ออกจากสิ่งที่อยากได้ ให้กับเราอีกด้วย

ให้ความสำคัญกับสัดส่วนเงินออม

สมมติว่าเรามีเงินเดือน 23,000 บาท แล้วเราเก็บเงินไว้เดือนละ 2,300 บาท ก็แปลว่า เราออมเงิน 10% ของเงินเดือน ซึ่งก็ถือว่าเป็นสัดส่วนเงินออม ที่พอใช้ได้

แต่หลังจากนั้น เมื่อเงินเดือนขึ้นไปเป็น 26,000 บาท แต่เราใช้เงินไปเยอะมาก จนเหลือเงินเก็บเดือนละ 2,300 บาท เหมือนเดิม สัดส่วนเงินออมของเรา จะตกลงไปเหลือประมาณ 9% ซึ่งน้อยกว่าสัดส่วนเงินออมขั้นต่ำแล้ว

หรือที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ เราใช้เงินมากเกินไป จนจำนวนเงินออมของเราก็หดหายไปด้วย และยิ่งทำให้สัดส่วนเงินออมตกลงไปอีก

ดังนั้น ก่อนจะเอาเงินเดือนที่เพิ่มขึ้นมา ไปใช้กับอะไร ให้เราลองคำนวณดูว่า จะต้องเก็บเงินเพิ่มเท่าไร ถึงจะทำให้สัดส่วนเงินออมไม่ตกลง ถ้าหากอยากมีเงินพอสำหรับเกษียณในอนาคต

เคลียร์หนี้ให้เรียบร้อย

สำหรับคนที่กำลังมีหนี้ การได้รับโบนัสซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ ก็ถือเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้ปลดเปลื้องภาระหนี้ต่าง ๆ ที่ค้างคาไว้ แทนที่จะเอาไปใช้ซื้อของที่อยากได้

โดยเฉพาะหนี้ที่คิดดอกเบี้ยแบบทบต้นทบดอก อย่างเช่น หนี้กู้ซื้อบ้าน ถ้าหากเราโปะด้วยเงินโบนัส ก็จะทำให้เงินที่เหลือจากการจ่ายดอกเบี้ย ไหลลงไปตัดเงินต้นมากขึ้น

ส่วนเงินเดือนที่เพิ่มขึ้น ก็อาจจะแบ่งมาจ่ายค่าผ่อนบ้าน เพิ่มขึ้นด้วยก็ได้ ซึ่งการผ่อนบ้านเพิ่มเดือนละ 1,000 บาท หรือ 2,000 บาทนั้น สามารถช่วยลดเวลาผ่อนบ้าน ไปได้หลายปีเลยทีเดียว

นอกจากนี้ บัตรเครดิต หรือบัตรกดเงินสด ที่อาจมีอัตราดอกเบี้ยสูงได้ถึง 25% ต่อปี ก็เป็นหนี้ที่ควรต้องรีบจัดการให้เร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้เช่นกัน

อย่าฉลองด้วยการซื้อของที่มีภาระผูกพัน

การหาความสุขจากเงิน ที่หามาได้อย่างยากลำบาก ไม่ใช่เรื่องต้องห้าม เพียงแต่อย่าให้ความสุขที่เราได้มาในวันนี้ มาทำลายแผนการเงินของเราในอนาคต

เมื่อมีเงินเดือนเพิ่มขึ้น เราก็อาจจะเริ่มรู้สึกว่า ห้องที่เช่าอยู่มันเล็กเกินไป หรืออยากจะมีรถคันใหม่ ด้วยความคิดว่าตัวเองน่าจะผ่อนไหว

แต่อย่าลืมว่า เราอาจจะตื่นเต้นดีใจ กับของเหล่านี้ได้ไม่กี่วัน แต่หลังจากนั้น เราจะต้องจ่ายเงินเพื่อผ่อนไปอีกหลายปี

เพราะฉะนั้น ถ้าหากอยากจะฉลอง การขึ้นเงินเดือน หรือได้โบนัส อาจจะลองมองหาสิ่งที่ซื้อแล้ว ไม่ต้องมีภาระผ่อนทีหลัง

อย่างเช่น การไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อของสะสมที่อยากได้ หรือจะเอาไปลงทุนในตัวเอง ด้วยการซื้อหนังสือมาอ่าน เพื่อศึกษาหาความรู้ ก็ได้เหมือนกัน

จากทั้งหมดนี้เองจะเห็นได้ว่า วิธีที่จะช่วยไม่ให้ค่าใช้จ่าย เพิ่มขึ้นตามรายได้ จนมากระทบกับเป้าหมายทางการเงินของเรานั้น ก็มีอยู่หลายอย่าง

ซึ่งเราก็ต้องเตือนตัวเองด้วยว่า อย่าหลงระเริง ไปกับเงินจำนวนมากที่ได้มาในวันนี้ จนลืมไปว่าต้องเก็บเงิน เพื่อให้ตัวเองพอใช้จ่าย ในวันที่ไม่สามารถ ออกไปทำงานหารายได้อีกด้วย..